วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

บทความนี้เกี่ยวกับคนที่จะเริ่มเลี้ยงปลาทอง หรือเลี้ยงแล้วไม่รอด ... ลองอ่านสักนิด


จะเริ่มเลี้ยงปลาทอง, อยากจะเลี้ยงปลาทอง, การเลี้ยงปลาทอง, วิธีเลี้ยงปลาทอง, ทำไมเลี้ยงปลาทองแล้วไม่รอด

เริ่มเรื่องจากพี่สาวพาหลาน ๆ (ก็ลูก ๆ ของพี่สาวนั่นแหล่ะ) มาเยี่ยมชมเคหะสถานที่ผมอยู่ ผมอาศัยซุกหัวนอน เด็กก็ตื่นตาตื่นใจกับตู้เลี้ยงปลาทองขนาด 60" แล้วก็มีปลาทองมากมาย  ทีนี้เวลากลางคืนพอเปิดไฟนีออนในตู้แล้ว แสงไฟกระทบกับตัวปลาทองสีสันต่าง ๆ ดูแล้วมันสวยมาก เพราะว่าผมเลี้ยงนี่ตู้ใส น้ำใส  (ถึงแม้ว่าปลาในภาพนั้นจะเยอะมากเกินขนาดตู้ไปหน่อยก็ตาม)

สำหรับคนที่เริ่มอยากจะหาสัตว์เลี้ยงสักอย่างมาให้วุ่นวายในชีวิต เพราะปกติเลี้ยงชีวิตตัวเองก็เหนื่อย แต่ยังไม่พอชอบหาสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ มาเลี้ยง

ข้อได้เปรียบ หรือจุดแข็งของการเลือกเลี้ยงปลาทองเป็นสัตว์เลี้ยง
1. การขับถ่ายของเสียของปลาทอง ก็จะอยู่ในตู้ ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงพวกหมา แมว ถ้าบางตัวสอนไม่เป็นมันก็ขับถ่ายส่งเดช เละเทะไปหมด  ของเสียของปลาทองนั้นไม่มีกลิ่นเพราะว่ามันอยู่ในน้ำ ถึงจะอยู่นอกน้ำมันก็กลิ่นไม่แรงเท่าของหมา หรือแมว

2. สถานที่ที่ใช้เลี้ยง  ปลาทองนั้นขอแค่มีน้ำ มีอ๊อกซิเจน หรือกระบวนการในการเพิ่มอ็อกซิเจนให้น้ำ อย่างตู้เลี้ยงปลาก็มีให้เลือกหลายขนาดครับ แต่ละขนาดก็มีวิธีการเพิ่มอ็อกซิเจนแตกต่างกันไป ตู้เล็กก็ใช้ปั๊มลม ตู้ใหญ่ก็ใช้ระบบปั้มน้ำล้นลงกรองข้าง ๆ ตู้ อันนี้ก็ลองดูให้เหมาะกับบ้านเรา ความสามารถของเราที่จะวางมันได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวกับพื้นที่ในบ้าน ปลาทองมันก็ว่ายน้ำในตู้ไม่ออกไปนอกบ้านให้เราต้องวิ่งตามหา ถ้าเลี้ยงหมาอย่างบ้านผมติดถนนใหญ่ ก็มีโอกาสที่จะโดนรถทับตายได้ง่าย ๆ  สถานที่ใช้เลี้ยงนั้นมือใหม่แนะนำตู้ครับ เอาเป็นตู้ที่อยู่บริเวณในบ้านด้วยจะดีมาก ๆ  เพราะว่าปลาจะป่วยยากกว่าเลี้ยงในที่เปิดเช่นบ่อ หรือบ่อซีเมนต์ที่ตั้งอยู่นอกบ้าน

3. ความสามารถในการอดอาหาร  สมมติว่าคุณเป็นคนที่อยู่หอพักอาจจะต้องมีการกลับบ้านเสาร์ - อาทิตย์  หรือต้องออกเดินทางค้างแรมชอบเที่ยวนั่นโน่นนี่ ปลาทองสามารถอดอาหารได้ดีกว่าหมา และแมว คือพูดง่าย ๆ เราไม่ต้องเป็นห่วงว่ามันจะอดไหม คือมันอดครับแต่มันไม่ตายเพราะอดอาหาร  ปลาทองจะคล้าย ๆ กับคนคือ ตายเพราะกิน ไม่ได้ตายเพราะอด  ปลาทองที่อดอาหารความแข็งแรงของร่างกายจะสูงกว่าปลาทองที่ได้กินอิ่ม ๆ เสียอีกนะครับ  สามารถอดได้ยาวนานถึง 3 - 4 สัปดาห์ (เขาว่ามาอย่างนั้น ผมอย่างมากที่เคยให้อดก็ประมาณ 10 วัน หรือถ้ากลัวมันอดจริง ๆ ก็มีเครื่องให้อาหารปลาแบบตั้งเวลา หาซื้อมาใช้ได้อีกนะครับ

4. อาหารของมัน  อาหารของปลาทองก็อาหารเม็ดนี่แหล่ะครับมีหลายขนาด หลายเกรด เลือกซื้อได้ง่าย หรือจะบำรุงด้วยอาหารสดพวกไรทะเล อะไรงี้ก็ได้เหมือนกัน การเก็บรักษาก็ไม่ยุ่งยาก กลิ่นก็มีบ้างสำหรับผมว่าไม่เหม็นนะ แต่บางคนบอกว่าเหม็นก็ว่ากันไป แต่ว่ากลิ่นมันก็ไม่ได้แรงมาก เวลาให้อาหารก็ไม่เลอะมือเราก็แค่เอาช้อนตักใส่ลงไปในตู้แค่นั้น ง่ายที่สุดแล้วหล่ะ   ไม่ต้องเรียกปลาทองมากินด้วย ฮ่า ๆ เพราะปลาทองมันเห็นคุณมันก็จะรู้ว่าจะได้กินอีกแล้ว  อาหารห่อหนึ่งถ้าเลี้ยงแบบให้อาหารพอดี ๆ กินหล่ะก็อยู่ได้นานเลยครับ บางคนให้มากมันก็ขี้ออกหมด สังเกตเวลาปลาทองกินอาหารใหม่จะไปดันอาหารเก่าออกมาทางตูดครับ  ความจริงแล้วอากาศในเมืองไทยให้ไม่เกินวันละสองมื้อก็เพียงพอครับ ผมให้ส่วนมากวันละมื้อเองครับ จะมีบางวันที่ไปนั่งดูมันเพลิน ๆ ก็หยิบอาหารให้มันนิดหน่อย เห็นมันมาออกันหน้าตู้แล้วใจอ่อน

5.การกำจัดซากศพ อย่างเช่นถ้าหมาแมวตายทำไงหล่ะครับอย่างดีหน่อยก็ขุดหลุมฝังไว้อาลัย ถ้าเอาแบบมักง่ายหน่อยก็ใส่ถุงดำโยนลงถังขยะไปเลย  แต่ถ้าปลาตายซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ๆ เพราะปลาทองหลาย ๆ ตัวไม่ได้อายุยืน มันอาจจะอยู่ ๆ เป็นโรคตายก็ได้ หรืออาจจะมีความพิการแฝงมาตั้งแต่ที่ร้านอยู่แล้ว  เอาเป็นว่าสิ่งมีชีวิตต่อให้เลี้ยงเก่งไงมันก็ต้องตายเป็นสัจธรรม ปลาทองก็จะสามารถจะฝัง หรือจะทิ้งลงชักโครก (ฟังดูโหดเนอะ) ก็ได้เหมือนกัน  แต่ก็อยากให้ฝังมากกว่านะเพราะว่าเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงของเรา ก็แสดงความรักเป็นครั้งสุดท้าย แต่อย่างไรก็ได้ครับบางคนก็เลี้ยงแบบหาที่ฝังไม่ได้ แบบว่ามีแต่ปูน / คอนกรีตไปเสียหมด



ถ้าคุณตัดสินใจได้แล้วว่าเราเหมาะ และพร้อมที่จะเลี้ยงปลาทองแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงมีดังต่อไปนี้ครับ


ตู้ปลา ตู้ปลาทองนั้นอย่างที่บอกครับว่าการนำตู้ปลามาตั้งในบ้านจะทำให้เลี้ยงปลาทองง่ายกว่าการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ หรือการเลี้ยงแบบเอาตู้ออกไปตากแดดตากลมนอกบ้าน  เพราะอะไรหน่ะหรือครับ เพราะว่าปลาทองค่อนข้างที่จะอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ การรักษาระดับอุณหภูมิให้คงที่ตลอดวันนั้นจะทำให้ปลาทองรอดได้ดีมากขึ้น  บางบ้านเอาตู้ปลาไปตั้งไว้นอกบ้าน พออุณหภูมิกลางวันกับกลางคืนเปลี่ยน แตกต่างกันไว ปลาก็จะป่วยได้ง่าย ยิ่งถ้าเป็นฤดูฝน น้ำฝนลงอุณหภูมิในน้ำเย็น ค่าความเป็นกรดด่างเปลี่ยน ปลาก็ป่วยได้

เลี้ยงในบ่อหรือในที่เปิดกว้างอันนี้ก็ยากเหมือนกันเพราะว่าควบคุมอุณหภูมิก็ยากแล้ว ต้องหมั่นดูน้ำฝน แถมปลาป่วยเป็นโรคก็ต้องรู้จักวิธีรักษาอีก อันนี้พวกฟาร์มปลาที่เขาชำนิชำนาญเขาก็จะเลี้ยงรอด แต่พอมาถึงมือเราเลี้ยงแบบเขาบ้างก็ตายทุกที

ตู้ปลาก็จะมีหลายขนาด แต่อยากให้พิจารณาถึงเรื่องความสามารถในการดูและรักษาตู้ปลาของตัวเองเป็นหลัก เพราะว่าอย่าลืมว่าปลาก็ขับถ่ายในตู้นั่นแหล่ะ การกำจัดของเสียเหล่านั้นแน่นอนว่าก็เป็นหน้าที่ของคนเลี้ยงปลา

การใส่ของประดับลงไปในตู้ปลาก็ทำได้ แต่นั่นก็จะทำให้การทำความสะอาดยากขึ้นด้วย  อย่างผมผมก็ใส่หินใส่พวกสิ่งของลงไปนะ เพราะเราเลี้ยงเพื่อความสวยงามดังนั้นการทำให้มันแลดูสวยงามมันก็เป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจ

่ระบบการดูแลของเสียของตู้แต่ละไซร้ส์ก็ต่างกัน ถ้าคุณเลือกซื้อตู้เล็ก ๆ ผมแนะนำให้หาที่กรองที่ต่อกับปั๊มลมมาช่วย เช่นพวกกรองกระปุก (ที่มีฟองน้ำพันอยู่รอบ ๆ ทั้งหลาย)     การมีระบบกรองจะช่วยให้น้ำใส  อันนี้ลองไปศึกษาระบบกรอง , กรองบน - ก็คือดูดน้ำไปปล่อยที่ระบบกรองด้านบนแล้วปล่อยน้ำที่ผ่านการกรองแล้วออกมา, กรองล่้าง  กรองนอก ก็คือดูดน้ำไปกรองที่ระบบกรองที่อยู่ด้านนอกแล้วก็เอาน้ำที่ผ่านการกรองแล้วแล้วกลับลงมา,  กรองใน พบมากในตู้ใหญ่ ๆ เขาจะทำเป็นห้องเล็ก ๆ ไว้อยู่ด้านหนึ่งของตู้แล้วก็จะมีระบบกรองอยู่ในส่วนนั้น  ระบบกรองจริง ๆ แล้ว ไม่ได้ทำให้น้ำใส (อ้าว) คืออย่าไปคาดหวังว่าเมื่อซื้อตู้ปลามา  มีระบบกรองเสร็จใส่น้ำลงไปปุ๊บ ใส่ปลาปั๊บ น้ำจะใสทันที  ระบบกรองก็คือการกักตะกอนส่วนหนึ่งไว้เฉย ๆ สิ่งที่จะทำให้น้ำใสก็คือจุลินทรีย์ แบคทีเรีย(ที่ไม่ก่อให้เกิดโรค) ต่าง ๆ ที่อยู่อาศัยภายในกรอง ย่อยเศษของเสียในกรองนั้นหรอกที่จะทำให้น้ำใสได้  บางทีถ้าเราเลี้ยงปลาในที่โล้น ๆ น้ำก็ไม่ใสสู้ตู้ที่มีเศษวัสดุพวกหินพรุน หรือว่าพวกเครื่องปั้นดินเผาที่อยู่ในตู้ได้เหมือนกัน  การเลือกซื้อตู้ปลายังต้องคำนึงถึงเรื่อง "น้ำ" ด้วย

น้ำ น้ำเป็นองค์ประกอบหลักของการมีชีวิตของปลาเลย  น้ำที่เราหาได้ง่ายที่สุดก็คือน้ำประปานั่นเอง  แต่สิ่งหนึ่งถ้าจะเลี้ยงปลาให้รอดยาว ๆ คงต้องบอกว่าต้องหาน้ำประปาที่ไม่มีคลอรีนผสม   แต่เราไม่สามารถมองเห็นปริมาณคลอรีนที่อยู่ในน้ำได้ด้วยตาเปล่าใช่ไหม ?  ดม ? บางโอกาสก็ไม่เวิร์ก  แถมปริมาณคลอรีนที่เราเปิดน้ำประปาออกมานั้นยังขึ้น ๆ ลง ๆ อีกด้วย  ถ้าโชคดีเราก็ใช้น้ำประปานั้นได้เลย แต่ถ้าโชคร้ายขึ้นมาปลาก็ตาย (ซึ่งนั่นคงไม่ใช่จุดประสงค์ของบทความ) โดยมากแล้วการกำจัดคลอรีนวิธีที่เว็บอื่น ๆ แนะนำกันหรือทำกันหลัก ๆ ไม่เสียค่าใช้จ่ายก็คือการพักน้ำ แต่ก็ต้องมีภาชนะที่ให้น้ำคุณพักได้เพียงพอกับปริมาณที่คุณจะใช้

โดยมากการจะซื้อตู้นั้นคุณต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำที่คุณพึงจะหาได้ด้วย เพราะบางทีก็ต้องมีการเปลี่ยนน้ำในตู้บ้าง อาจจะเปลี่ยนกันไม่ทั้งหมดแต่ก็ต้องมีการถ่ายเทน้ำเก่าออก เอาน้ำใหม่ใส่ไปบ้าง  หรือการถ่ายน้ำเพื่อกำจัดของเสียของปลาทองที่สะสมอยู่ในตู้

ดังนั้นถ้าใคร่จะซื้อตู้ใหญ่ และไม่อยากพักน้ำ และไม่อยากลงทุนมาก ก็ต้องซื้อพวกยาฆ่าคลอรีน แต่ของพวกนี้บอกตามตรงคือผมก็ไม่มีประสบการณ์เหมือนกัน ไม่รู้ว่าใส่เกินขนาดแล้วปลาจะตายไหม  ก็ควรลงทุนพวกเครื่องกรองน้ำด้วยที่ขจัดคลอรีนได้

แต่ที่ผมอยู่คือหอพักที่มีแท้งก์ขนาด 4 ตัน พักน้ำไว้ด้านล่าง แล้วก็มีแท้งก์น้ำอีก 4 ตันไว้ด้านบนตากแดดร้อน ๆ เลย แบบว่าเปิดมากลางวันอาบน้ำไม่ได้ อันนี้ก็ต่อน้ำจากสายยางใช้ได้เลยเพราะความร้อนทำให้คลอรีนสลายไปได้ แต่ก็ไม่ควรนำน้ำที่อุณหภูมิสูง ๆ มาเลี้ยงปลาเพราะจะทำให้ปลาตกเลือดที่หางได้ บางตัวก็อาจจะช็อคอุณหภูมิตายไปได้เหมือนกัน ก็เลือกใช้น้ำช่วงเช้าหรือเย็น ๆ เอา

อุปกรณ์ในการเติมอ็อกซิเจนให้น้ำ  อันนี้ก็เป็นส่วนประกอบสำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง  เพราะว่าปลาอาศัยอยู่ในน้ำแต่กระบวนการของการดำรงชีวิตอยู่นั้นปลาต้องหายใจ อย่างปลาทองที่ต้องอ้าปากตลอดเวลา จนมีคนเอามาล้อว่าปลามันด่าว่า "พ่อมึง พ่อมึง" ในความเป็นจริงแล้วนั่นคือวิธีการหายใจ (ในภาษาวิทยาศาสตร์ใช้คำว่าการแลกเปลี่ยนก๊าซ)   ปลาทองจะอมน้ำเข้าไปมันจะเกิดแรงดันทำให้น้ำไหลผ่านจากปากไปยังเหงือก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเหงือกปลาทองก็จะเปิดด้วยเสมอ ภายใต้ฝาปิด ๆ เปิด ๆ ที่อยู่บริเวณข้างตัวปลา ก็คือเหงือก เหงือกจะมีเส้นเลือดฝอยเป็นจำนวนมากเพื่อทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนที่ละลายในน้ำเข้าสู่กระแสเลือดของปลา  เหมือนกับคนที่จะมีเส้นเลือดฝอยจำนวนมากแทรกอยู่ในถุงลมปอดหลักการเดียวกัน แต่คนหายใจเข้าทางจมูก,ปาก หายใจออกก็ใช้ทางเดิม  แต่ปลาอ้าปากฮุบน้ำ น้ำไหลผ่านเหงือกออกอีกทางหนึ่ง

ในน้ำก็มีอ็อกซิเจนละลายอยู่  เราก็คงมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอีกนั่นแหล่ะ การจะทำให้อ็อกซิเจนละลายในน้ำทำได้หลายวิธีมาก เช่นการตีน้ำ การเขย่าขวดน้ำ การเอาลมพัดเป่าผิวหน้าของน้ำ  หรือการเปิดปั๊มลมให้เกิดฟองอากาศใต้น้ำ

ผมเคยได้ยินคนซื้อปลาทองคนหนึ่งถามพ่อค้าว่าถ้าเขาซื้อไปแล้วจะต้องซื้อเครื่องเป่าลมที่เรียกภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่า "อ็อก" (คาดว่าคงมาจากคำว่า อ็อกซิเจน) ด้วยไหม ?   พ่อค้าก็ตอบว่าไม่ต้องก็ได้  แต่ผมว่ามันก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย แต่ถ้าถามผม ผมก็คงต้องบอกว่าซื้อไปสิจำเป็นนะ (คำตอบผมอาจจะทำให้ขายปลาไม่ได้)   ผมอยากจะให้นึกถึงถ้าปริมาณน้ำในตู้สี่เหลี่ยม ๆ คืออากาศในห้อง ๆ หนึ่ง แล้วจับคนเลี้ยงปลาโยนลงไป คนก็จะหายใจได้นานหรือไม่ขึ้นอยู่กับขนาดห้องนั้น ๆ  นั่นก็คือเดี๋ยวก็หมดอากาศคนเลี้ยงก็จะหายใจไม่ออก   ถ้าปลาตัวเล็กจำนวนน้อย ตู้ใหญ่มาก ๆ ปลาก็จะเลี้ยงอยู่ได้ เพราะว่าน้ำเยอะ อากาศมันก็เยอะตาม อากาศละลายในน้ำได้หลายวิธีเช่น ลมพัดผิวหน้าน้ำ  หรือการเกิดตระไคร่น้ำ ตะไคร่สังเคราะห์แสงได้ก๊าซออกซิเจนมาเติมน้ำ ปลาก็อยู่ได้ไม่จำเป็นต้องใช้อ็อก เพราะอากาศเพียงพอ

บางคนคิดว่าการใส่สาหร่ายลงไปก็ช่วยได้เพราะกลางวันสาหร่ายก็จะสังเคราะห์แสงแล้วทำให้ได้อ็อกซิเจนออกมา แต่อย่าลืมว่ากลางคืนไม่มีแสงสาหร่ายก็จะไปแย่งอากาศในน้ำของปลาด้วยเช่นกัน

วันแรกที่ได้ซื้อตู้ปลามาเลี้ยง ก็ซื้อปลาทองตัวเล็ก ๆ มาลองก่อน ใส่สาหร่ายลงไปนิดหน่อย

ปลาทองจัดว่าเป็นปลาที่ใช้อ็อกซิเจนได้เก่งมาก ๆ คือใช้เยอะ สังเกตปลาหลาย ๆ ชนิด เช่นปลากัด อันนี้แทบจะไม่อ้าป้าฮุบน้ำเลย  ปลาหางนกยูงก็ไม่ค่อยจะได้ฮุบน้ำตลอดเวลา  แต่ปลาทองนี่จะเห็นได้ว่าเขาจะฮุบน้ำเพื่อให้น้ำไหลผ่านเหงือกตลอดเวลา ดังนั้นอ็อกซิเจนในน้ำจะหมดเร็วมากหากเลี้ยงปลาทอง

ปลาที่ตัวโตก็จะใช้ปริมาณอ็อกซิเจนเยอะตามไปด้วย ดังนั้นหากคุณเลี้ยงปลาตัวเล็กแล้วไม่ได้ใช้อ็อกซิเจน อย่าเข้าใจผิดว่ามันจะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะมันมีการเจริญเติบโต  หรือการย่อยสลายของเสียของจุลินทรีย์ แบคทีเรียที่อยู่ในตู้อันนี้ก็ต้องใช้อ็อกซิเจนเหมือนกัน

ถ้าคุณเลี้ยงปลาทองหล่ะก็ กระบวนการในการเติม อ็อกซิเจน จะต้องมี อย่าไปกลัวว่าจะเปลืองไฟ เครื่องเป่าลมนี้ปกติแล้วถ้าไม่ได้เลี้ยงกันในระดับฟาร์มใช้เครื่องละไม่เกิน 300 บาท กินไฟไม่กี่วัตต์หรอกครับ เด็กในหอผมเลี้ยงปลาทอง ตอนเจ้าตัวไม่อยู่หอ กลับบ้านเสาร์อาทิตย์ แต่เปิดอ็อกซิเจนไว้ มิเตอร์หน้าห้องแถบจะไม่หมุนเลยครับยืนมองจนเมื่อยคอนั่นแหล่ะ

แล้วควรจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันเลยไหม อืม อันนี้ถ้าเกิดว่าเลี้ยงสัดส่วนของปลาทองกับปริมาณน้ำ น้อยก็ควรจะเปิดตลอดครับ  ถ้าเราจะดูกันจริง ๆ เลยก็ให้ดูว่าปลาทองมีอาการเหล่านี้ไหม เช่น ลอยอยู่ช่วงบนของตู้ ไม่ดำน้ำลงไป ไม่สดใสร่าเริง ฮุบอากาศที่อยู่บนผิวน้ำ (บางคนเข้าใจว่าการฮุบอากาศที่ผิวน้ำนั่นคือปลาหิวมาขออาหาร อันนี้ผิดครับ ถ้ามันหิวแบบนั้นมันจะต้องว่ายอย่างแข็งแรงครับ)   อาการเหล่านี้คือเป็นการบ่งบอกได้ว่าน้ำนั้นขาดอ็อกซิเจนแล้วครับ ปล่อยทิ้งไว้ปลาทองก็อาจจะตายเพราะขาดอากาศได้ครับ

ปลาทองสามารถอดอาหารได้ครับ แต่จะขาดเครื่องเป่าลมเพื่อเติมอากาศในน้ำไม่ได้เลย

ตำแหน่งที่ตั้ง จุดภูมิศาสตร์ สถานที่ที่คุณจะใช้ในการเลี้ยงปลา   อันนี้จะเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งการจัดวางตู้เลี้ยงปลา   ผมอยากให้คุณคำนึงถึงความสามารถในการหอบน้ำขึ้นไปใส่ตู้  อาจจะใส่ถัง ? หรือใช้สายยาง    การระบายน้ำออกจากตู้ว่ามีความยากความง่ายขนาดไหน  จะเลือกการตักออกหรือกาลักน้ำ แล้วน้ำที่ลักออกไปหล่ะจะเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน ?  สิ่งเหล่านี้บางคนก็อาจจะลืมนึกไป  เจตนาของผมไม่ได้อยากจะทำให้การเลี้ยงปลานั้นดูยาก  แต่เอาเป็นว่าพื้นฐานแล้วผมเป็นคนที่ค่อนไปทางขี้เกียจ  ซึ่งไม่ดีเลย ในการเลี้ยงปลา   ดังนั้นการเลี้ยงอะไรสักอย่างหนึ่งเราก็ต้องรับผิดชอบเป็นเสมือนภาระที่เพิ่มขึ้นมา   การคำนึงถึงกำลังที่มีก็ย่อมจะดีกว่า จัดหาอุปกรณ์มาหมดทุกอย่างแล้ว เลี้ยงไปได้สักพักก็รู้สึกเป็นภาระขึ้นมา ทำให้เสียทั้งเงินทั้งเวลา ของที่ซื้อมาก็เกะกะอีก เนาะ ?

ผมไม่อยากจะเห็นบ้านที่มีตู้ปลาขนาดใหญ่แต่ข้างในเต็มไปด้วยของอะไรก็ไม่รู้อยู่ในตู้ปลา ไม่มีหรอกปลามีแต่ของที่ไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนประมาณนั้น รู้สึกเสียดายของจัง  หรือบางบ้านมีตู้ปลาแต่เลี้ยงแต่ตะไคร่น้ำ ตู้สวยมากเลี้ยงปลาหางนกยูงเงี้ยะ ไม่ได้ว่าผิดนะ แต่ว่าเอ่อ ... ตอนแรกคุณตั้งใจจะเลี้ยงปลาหางนกยูงเหรอครับเนี่ย พอมันเป็นภาระก็ทำให้เกิดความทุกข์ใจขึ้นอ่ะนะ

ที่ตั้งที่เลี้ยงของคุณได้รับแสงแดดมากน้อยเพียงไหน ? เพราะว่าถ้าได้รับแสงแดดมากไป สิ่งหนึ่งที่จะตามมาก็คือตะไคร่น้ำสีเขียว ๆ   ว่ากันตามความจริงแล้วตู้ปลาควรจะได้รับแสงแดดบ้าง แต่อย่าให้มากจนเกินไปเพราะตะไคร่น้ำจะโตเร็วมาก แล้วคุณก็จะต้องขัดตู้บ่อยมาก  ปลาทองที่ได้รับแสงแดดบ้างก็จะมีสุขภาพดี  แสดงแดดช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสงทำให้ปริมาณไนเตรตในน้ำลดลง  ไนเตรตเกิดจากกระบวนการย่อยสลายของเสียพวกขี้ปลา พวกพืชน้ำชอบไนเตรตเพราะจะไปช่วยให้เขาโต รวมทั้งตะไคร่น้ำด้วย

คุณอาจจะชอบสีเขียวของตะไคร่น้ำอันนี้ก็ไม่ผิด แต่ถ้ามีเยอะเกินไป ตะไคร่น้ำมันจะเป็นสีดำำ ๆ ก็อาจจะทำให้ตู้คุณไม่สวยได้  ข้อเสียของตะไคร่น้ำอีกอย่างคือ มันจะไปเกาะพวกไม้น้ำทำให้ไม้น้ำตายได้ครับ เรื่องของแสงแดดถ้าให้ดีก็คำนึงถึงเรื่องระยะเวลาที่จะได้รับแสงว่านานไหม นานแค่ไหน กับความเข้มแสง ความเข้มแสงมากก็จะทำให้พวกตะไคร่น้ำนี้โตเร็วด้วยเช่นกันครับ

ถ้าคุณเป็นคนที่ปลูกต้นไม้ด้วยคุณน่าจะเอาน้ำที่ถ่ายออกจากการเลี้ยงปลาไปรดต้นไม้ แทนน้ำประปานะครับจะช่วยประหยัดได้มาก แต่ประเด็นคงไม่ใช่ประหยัดหรอกครับ ผมว่าคุณจะภูมิใจในตัวเองที่ได้ใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า ดังนั้นถ้าคุณมีสถานที่ตั้งในลักษณะที่ทำให้คุณสามารถใช้น้ำได้อย่างนี้แล้วหล่ะก็ผมว่ามันเยี่ยมเลยครับเพอร์เฟ็คสุด ๆ ไปเลย

การเลี้ยงในภาชนะที่ตั้งบนพื้นปูนซีเมนต์ เช่นอ่างไฟเบอร์กลาส หรือกะละมังอะไรแบบนี้ ก็ต้องระวังนะครับ เพราะว่าเวลากลางคืนพื้นปูนซีเมนต์จะเย็นตัวอย่างรวดเร็วส่งผลมาถึงอุณหภูมิของน้ำอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นถ้าจะเลี้ยงบนภาชนะเหล่านี้ ก็ควรหาอะไรมาหนุนรองเพื่อยกระดับขึ้นมานิดหน่อย เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิรวดเร็วเกินไป


ปลาทอง  ปลาเงินปลาทอง ก็มีให้เลือกหลายสายพันธุ์ตามแต่ความชอบของแต่ละคน  วิธีการเลือกปลาทองที่จะเอามาเลี้ยงนั้น สำหรับผมจะเริ่มดูจาก
1. ดูสีสันความสวย เป็นอันดับแรกเลย  ในบางทีก็ดูถึงโครงสร้างของหน้าตาด้วย ปลาทองหน้าตาไม่เหมือนกันซะหมดทุกตัว บางตัวหน้าทู่ ๆ บางตัวหน้าเขาจะแหลม ๆ บางตัวหน้าก็ไม่ค่อยสวย บางตัวก็น่ารัก   บางพันธุ์ก็เป็นแบบหัวมีวุ้นด้วย  ถ้าซื้อปลาไม่ไซร์สเล็กเกินไปหน้าก็จะไม่เปลี่ยนแล้ว แต่ถ้าซื้อปลาไซร้ส์เล็กพอโตขึ้นหน้าตาก็เปลี่ยนได้อีกนะ
2. ดูครีบ นอกจากความสวยแล้วความครบของครีบนี่สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้อยากให้ซื้อปลาทองจากร้านที่เขาเอาใส่ตู้ไว้ขาย เพราะเราสามารถดูได้ว่าครีบของปลาครบหรือเปล่า  โดยมากแล้วที่ผมเจอ ครีบไม่ครบจะเป็นครีบตรงรูทวาร บางตัวจะมีครีบเดียว แบบนี้ถ้าเป็นนักเลี้ยงปลาต่อให้ปลาสวยแค่ไหนก็จะไม่ซื้อมาเลี้ยง ถึงแม้ว่าครีบตูดบางตัวจะถูกครีบหางบัง เวลาอยู่ในตู้ก็สวยได้เหมือนกันก็ตาม  ครีบรอบทวารจะต้องมีสองข้าง เท่า ๆ กัน  ครีบท้อง ก็มี 2 อัน ครีบว่ายเหมือนมือของเราก็ต้องมี 2 ข้าง ครีบกระโดงหลังอันนี้จะต้องแลดูเป็นแผ่นสวยงามตั้งขึ้น ปลาทองที่ว่ายน้ำแล้วครีบกระโดงหลังตั้งขึ้นดูจะสวยดี สง่าดี  ครีบหางควรไม่มีรอยพับงอถึงจะเรียกว่าสวย  ส่วนใหญ่ปลาทองที่นำมาขาย ๆ กันไม่ค่อยเห็นครีบที่เป็นแบบครีบปลาทูนะ เพราะปลาที่ครีบหางเป็นครีบหางปลาทูนี้มักจะโดนคัดทิ้งตั้งแต่ตอนเล็ก ๆ แล้ว เพราะเป็นลักษณะด้อยที่เห็นได้ชัดที่สุด ทางฟาร์มมักจะไม่เลี้ยงไว้เพราะขายไม่ได้ หรือขายไม่ได้ราคา เปลืองอาหารเสียเปล่า ๆ เราจึงไม่ค่อยเห็นกันในท้องตลาดสักเท่าไหร่   ครีบหางแบบครีบหางปลาทูก็ให้ไปดูปลาทูที่เราทอดกิน มันจะเรียบเป็นแผ่นเดียวไปเลย ไม่เป็นเหมือนลักษณะพลิ้ว ๆ คล้ายกระโปรงผู้หญิงแบบปกติทั่วไป

ครีบไม่ควรจะเห็นเป็นรอยเลือด แต่บางทีก็มีบ้างเนื่องจากการกระทบกระทั่งกันในขณะขนส่ง หรืออาจจะเกิดจากไปกระแทกกับของประดับในตู้  อย่าเลือกปลาที่มีลักษณะที่ครีบเปื่อย ขาดเป็นริ้ว ๆ นั่นคืออาการป่วยของปลาชนิดหนึ่ง ครีบจะต้องใส ๆ เรียบ ๆ ถ้าเพ่งดี ๆ จะเห็นเป็นลอนสวยงาม  ปลาทองบางสายพันธุ์หางจะสั้น ๆ ดุกดิก ๆ น่ารักไปอีกแบบ ปลาทองบางสายพันธุ์หางจะออกยาว ๆ

3. เกล็ด เกล็ดปลาทองจะเรียบเนียนแน่น  บางสายพันธุ์จะมีลักษณะเด่นอยู่ที่เกล็ด คือพันธุ์เกล็ดแก้ว อันนี้เกล็ดเขาจะเหมือนผิวลูกกอล์ฟ  ไม่ได้ป่วยแต่อย่างใด  แต่ถ้าปลาที่มีอาการป่วยเกล็ดจะมีอาการช้ำเลือด พองฟูออกมา ดูเหมือนมีลักษณะของอาการอักเสบ  หากเห็นปลาทองเกล็ดหลุดให้ระวังอาจจะเกล็ดหลุดเนื่องจากตัวเห็บปลา ซึ่งเห็บปลานี้เป็นปรสิตชนิดหนึ่ง สังเกตุได้ด้วยตาเปล่า มันจะเกาะอยู่กับตัวปลาเหมือนเห็บหมาแหล่ะดูดเลือดปลาเป็นอาหาร  ทีนี้เวลาปลาโดนดูดเลือดก็จะคัน เขาก็จะว่ายเอาตัวเข้าถูกับสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในตู้ทำให้เกล็ดหลุดได้

ถึงแม้ว่าเกล็ดหลุดนี้จะงอกออกมาใหม่ได้ แต่ถ้าซื้อไปก็ต้องระวังจะได้ของแถมไม่รู้ตัว  การรักษาโรคเห็บ ยิ่งถ้าเราเอาปลาที่มีเห็บไปรวมกับปลาเก่าที่บ้านเราแล้วหล่ะกัน การจะรักษาก็จะวุ่นวายมากขึ้นไปอีก เพราะมันตายยาก ต้องหยอดยากันเป็นระยะ ๆ ยาวนานถึงหนึ่งเดือนเลยทีเดียว


4. พฤติกรรมของปลา ปลาทองที่แข็งแรงเขาจะว่ายน้ำตลอดเวลา มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา การเคลื่อนที่ไม่ตุปัดตุเป๋ เคลื่อนที่นิ่มนวล เราจะรู้สึกได้ว่าเขามองเราเขาจะมีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมของเขาตลอดเวลา เช่นเวลาเราจะช้อนเขาก็จะว่ายน้ำหนี การว่ายก็จะทรงตัวตั้งตรงตลอดเวลา  ไม่มีอาการของการว่ายหงายท้อง หรือว่ายไม่เป็นทิศทาง   ปลาทองที่แข็งแรงจะว่ายน้ำเพื่อหาของเข้าปากตลอดเวลา อาจจะมีหยุดบ้างตอนที่มันจะพักผ่อนจริง ๆ เช่นงีบหลับ พบได้ตอนกลางคืน หรือบางทีก็เวลาที่ไม่ใช่เวลาอาหารของเขา (ถ้าเราให้อาหารเป็นเวลานะ)   ปลาทองที่หงายท้อง หรือลำตัวไม่ขนานกับพื้น อาจจะมีอาการหัวปัก แบบนี้ถือว่าเป็นปลาที่มีความผิดปกติไม่ควรซื้อมาเลี้ยง

5.อวัยวะอื่น ๆ ของปลา เช่นเหงือก ถ้าเหงือกช้ำเลือดนี่ก็อาจจะป่วยอยู่  ดวงตาต้องมีครบสองข้าง ปากก็ต้องไม่มีลักษณะของการเปื่อย ให้สังเกตความพิการของปลาทอง ถ้าปลาไม่สมบูรณ์ก็ไม่ควรซื้อมาเลี้ยง

6.ร้านขาย ร้านขายก็ควรจะเป็นร้านที่เชื่อถือได้ ร้านที่ผมซื้ออยู่เวลาซื้อบางทีก็ได้ของแถมคือเห็บปลามาด้วย ดังนั้นเวลาซื้อมาก็ควรเลือกซื้อร้านที่ทำความสะอาดบ่อย ๆ เวลาเลือกปลาดูด้วยว่ามีอะไรเกาะตามตัวปลาหรือไม่ พวกปริสิตภายนอกที่ฮิต ๆ กันมักจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า    ปลาทองที่อยู่ในกะละมังอันนี้ดูยาก ถ้าอยากได้จริง ๆ ถ้าร้านเขาอนุญาตก็จับใส่ตู้เพื่อดูความสมบูรณ์ต่าง ๆ ก่อน ปลาที่อยู่ในกะละมังก็จะทำให้เราไม่เห็นครีบตูด สภาพของปลาด้านข้าง

อย่าเลือกปลาที่อยู่ในน้ำสีเหลือง ๆ น้ำสีเหลือง นี่เข้าใจว่าเป็นน้ำยาอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งปลาที่อยู่ในน้ำสีเหลือง ๆ ดูแล้วอาจจะร่าเริงแจ่มใสน่ารักดี แต่โดยมากแล้วพอเราซื้อมามันจะอ่อนแอ แล้วก็ป่วยตายทันที สำหรับผมถ้าปลาที่อยู่ในน้ำสีเหลือง ๆ ซื้อมาแล้วเพราะความสวยโดนใจก็มักจะต้องเลี้ยงแยก แอบใส่พวกยาแก้อักเสบของคนลงไป จับอดอาหาร แต่บางตัวก็ไม่รอดนะครับ ทำแบบนี้หลายวันจนกว่ามั่นใจได้ว่าเขาจะแข็งแรงดีจึงจะจับไปเลี้ยงรวมกับปลาเดิม  แต่ก็แนะนำว่าถ้าเห็นก็อย่าไปซื้อเลยเพราะปลามันอ่อนแอ เสี่ยงกับการเสียเงินเป็นอย่างยิ่ง


วันแรกของการเลี้ยงปลา (ของผม)
วันแรกของการเลี้ยงปลา หลังจากที่คนขายตู้ปลานำตู้ปลามาส่ง (ไม่อยากจะบอกว่า หินก็ไม่ล้างให้ ใส่ลงไปในตู้ปลาผมเฉยเลย) ผมก็เลยต้องมานั่งทำความสะอาดตู้ปลา พร้อมกับหินประดับตู้ปลาในตู้ปลา 60 นิ้ว   ตู้ปลา ขาตั้ง ฝาปิด อุปกรณ์ครบเซ็ตชุดนี้โดนไปเจ็ดพันกว่า ๆ ความจริงอยากได้ตู้อีกไซ้ร์สหนึ่ง ที่ความกว้างมากกว่า แต่มันต้องเพิ่มความหนาของกระจก ราคาถีบไปหมื่น เลยไม่กล้างบไม่พอ

หลังจากเคลียร์เรื่องความสะอาดของหินแล้ว เพื่อให้เป็นฝุ่นน้อยที่สุด ผมก็ลองเปิดปั้มให้น้ำไหลผ่านกรองสักพัก น้ำก็ยังไม่ใสขึ้น  ก็เลยวิ่งไปร้านขายปลา ซื้อปลาด้วย ซื้อน้ำยาสีฟ้า ๆ น้ำใสด้วย   ก็ใส่ไป วันแรกก็น้ำใสครับใสดีเพราะปลาน้อยอยู่ไง ปลาสามตัวเล็ก ๆ เอามาทดลองเลี้ยงก่อน

พูดถึงเรื่องน้ำยาน้ำใสแล้ว ความจริงแล้วน้ำยาตัวนี้จะว่าไปแล้วมันก็ช่วยได้อยู่นะครับ แต่ถ้าจำนวนปลาต่อขนาดตู้ค่อนข้างจะแน่น น้ำยาน้ำใสก็ช่วยไม่ได้นะครับ  ความจริงความใสของน้ำในตู้เลี้ยงปลาขึ้นอยู่กับระบบของการย่อยสลายของจุลินทรีย์มากกว่าครับ

อย่าเพิ่งไปคาดหวังกับสภาพน้ำมากครับในวันแรก ๆ เพราะจุลินทรีย์ แบคทีเรีย กว่าจะโตกว่าจะทำงานได้ดีก็ต้องมีของเสียจากตัวปลาในระดับหนึ่งก่อนครับ  ระยะนี้อย่าเพิ่งใจร้อนไปถ่ายน้ำครับ ยิ่งถ่ายน้ำยิ่งใสยาก ต้องทนน้ำขุ่นในตู้ปลาไปสักระยะก่อนครับ

ผมมาแรก ๆ นี่น้ำไม่ใสถ่ายน้ำใหม่เกือบหมดตู้ตลอด สุดท้ายไม่เวิร์ก แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งผมยุ่งเลยไม่ได้แตะต้องตู้ปลาเลย ผลัดวันประกันพรุ่งว่าจะเปลี่ยนน้ำใหม่ แต่พอวันใหม่ธุระใหม่ก็เข้ามาก็เลยปล่อยให้น้ำมันขุ่น ๆ อยู่แบบนั้น ปรากฎว่ามันใสได้เองแฮะ งงเลย  สุดท้ายมาหาความรู้ในเน็ตเขาก็บอกแบบนี้ คือ ระบบกรองมันยังไม่เซ็ตตัว สุดท้ายแล้วน้ำยาน้ำใสก็เลยไม่ได้เงินผมอีกเลย


ลูกปลาทองไล่กินไรทะเลตัวน้อย


ปลาทองป่วย
พอเข้าหน้าฝนแรกของการเลี้ยงปลาของผม อากาศก็เริ่มเย็นบ้างปลาทองก็จะป่วยง่ายขึ้น  เวลาปลาทองป่วยสังเกตได้ง่ายมาก คือมันจะซึมเลย จมอยู่ก้นตู้ ไม่กระดี้กระด้าร่าเริง  สำหรับการพยาบาลขั้นต้นเลยก็คือ
1. น้ำต้องสะอาด
2. อุณหภูมิคงที่
3. งดให้อาหาร

อันนี้อย่าว่าผมโหดนะ บางทีหากเราซื้อยามารักษามัน บางทีเอาตังค์ไปซื้อปลาตัวใหม่เหอะ ยาปลาทองนี่แพงมากที่ขายกันตามเว็บ ถ้าปลาไม่ซื้อมาแพงจริงก็นะ อย่างผมซื้อปลาทองแพงสุดก็ตัวละ 120 เอง ก็กำลังจะไปลองเลี้ยงไซ้ร์สใหญ่ดูบ้างแต่ว่า พื้นที่ตู้ไม่อำนวยแล้ว คงต้องรอจนกว่าสมาชิกจะล้มหายตายจากหล่ะมั้งครับ

ส่วนมากแล้วผมก็มักจะใช้ยาพวก Oxycyclin อ่ะนะครับ พวกยาคนแคปซูลแกะออกมาผงสีเหลือง ๆ หรือที่เรียกว่ายาแก้อักเสบแหล่ะครับ ใส่ไปไม่มากนัก หลักของการรักษาคือ อย่าใส่ยาเกินขนาด อย่าใจอ่อนให้อาหาร รักษาคุณภาพน้ำให้สะอาด รักษาระดับอุณหภูมิให้ได้ (อาจจะซื้อฮีทเตอร์มาติด ๆ ไว้บ้าง) แต่เมืองไทยส่วนใหญ่จะร้อนครับ มีเย็น ๆ ไม่กี่ช่วง แต่ถ้าเป็นทางเหนือ กับอีสาน นี่ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ

ยาพวก Amoxy ก็เคยใช้นะแต่ผมว่าไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไหร่ ปลาทองบางตัวมันป่วยจากอวัยวะภายในแบบนี้ก็ช่วยยากครับ ผมก็เคยมีอยู่ตัวรักมาก ตอนแรกอาการเขาคือเกล็ดพอง ผมก็คิดว่ามันคงเป็นจากอาหารปลาดุกที่ซื้อให้มันกิน (อย่าซื้ออาหารปลาดุกตามร้านการเกษตรให้ปลาทองเลยนะครับ บางตัวกินไม่เป็นอะไร บางตัวกินแล้วก็ป่วย) ก็ผมก็จับแยกไปอดอาหาร  แล้วมันก็หาย  ผมก็เลี้ยงตามปกติได้อีกสักพักใหญ่ ๆ มันก็เกล็ดพองอีก ผมก็จับไปงดอาหารเหมือนเดิม ทีนี้ไม่หายสุดท้ายก็ตายครับ ... เสียดายครับ แต่ว่านั่นแหล่ะ ปลาทองตายก็ซื้อใหม่ ตายเป็นเรื่องปรกติ

ตอนนี้ผมก็มีอยู่ตัวหนึ่ง หัวปัก แต่ก็ยังมีชีวิตรอดได้นะครับ เขาหัวปักทั้งวันจับงดอาหารแล้วก็ดีขึ้นแต่ก็ไม่หายขาด ก็เลี้ยงกันต่อไป เลี้ยงมาตั้งปีกว่า ๆ แล้ว

ก็ต้องหมั่นสังเกตอาการปลาครับ

อาการป่วยที่เกิดจากปรสิตภายนอก  ที่ผมเจอบ่อย ๆ เลยก็คือเห็บปลาครับ อันนี้รักษาไม่ยากนัก ปลาไม่เป็นอันตรายถึงตาย สามารถสังเกตเห็นตัวเห็บได้ด้วยตาเปล่าครับ   เห็บหน้าตามันก็น่ารักดีนะ แต่เกาะปลาแน่นมาก  การรักษาส่วนใหญ่ก็ใส่ยาครับ ใส่แบบเว้นระยะ เช่นเว้นระยะสองสามวันใส่ทีหนึ่ง หรือหนึ่งสัปดาห์ใส่ทีหนึ่ง  แต่ต้ัองต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย ๆ ก็ประมาณสักเดือนหนึ่งจึงจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้อยู่หมัด

ปลาเป็นเห็บนั้นเราจะเห็นได้ง่ายคือปลาจะเอาตัวไปแฉลบกับหินในตู้ ปลาทองไม่ใช่ปลาที่ชอบว่ายน้ำแฉลบไปมาครับ มันจะว่ายมาอย่างเร็วครับแล้วเอาส่วนหนึ่งส่วนใดถูกับวัสดุในตู้ อาการแบบนี้เป็นอาการบ่งบอกว่าปลาอาจจะเป็นโรคเห็บครับ  หรือบางทีเราก็จะสังเกตเห็นว่าเกล็ดหลุดครับ  ถ้าเห็บเกาะหาง เราจะเห็นว่าบริเวณที่เห็บเกาะมันจะเกิดอาการตกเลือดครับ เราจะเห็นเลือดปลาเป็นเส้น ๆ ตามลายของหางปลาทองเลยหล่ะครับ
ยาฆ่าเห็บ ตัวที่ไม่แรงเช่น Top อันนี้ก็ใส่ได้เยอะครับปลาไม่เป็นอะไร แต่เหมือนว่าเห็บจะไม่ตายนะครับ  ตัวที่ผมใช้บ่อยก็คือ ดีมิลิน ใส่เท่าโดสที่กำกับก็เห็นว่าปลาก็เริ่มมีอาการเหมือนไม่สบายตัวให้เห็นเลยหล่ะครับ ตีมิลิน อย่าใส่เกินโดสครับ ถึงขั้นฆ่าปลาได้เลย

สำหรับดีมิลินผมใส่ต่ำกว่าโดสนิดหน่อย (กะกะเอา เพราะกลัวปลาตายมากกว่า) หรือใส่พอดีโดส ใส่แล้วอย่าใจร้อนครับ ยามันไม่ได้ออกฤทธิ์ปุ๊บปั๊บ ยามันออกฤทธิ์ของมันไปครับ สักชั่วโมงหนึ่งก็เห็นว่าเห็บจะหลุดออกจากตัวปลา มันจะว่ายให้เราเห็นเลย เหมือนมันเมายา ประมาณนั้น แต่ก็ไม่ใช่ใส่วันหนึ่งแล้วหยุดนะครับ เพราะว่าบางทีเรามักจะได้เห็บตัวแม่มา  ตอนที่เรายังไม่ทันสังเกตเห็นอาการจากปลา มันอาจจะวางไข่ทิ้งไว้ในตู้  ก็ต้องเว้นระยะสักสามสี่วัน แล้วใส่ยาซ้ำ แล้วก็เว้นสักสามสี่วันอีกใส่ยาซ้ำ  ทำไปสัก 4 - 5 รอบครับ เพราะดูเหมือนว่ายาฆ่าได้เฉพาะตัวครับ ไข่จะฆ่าไม่ได้มั้งครับ คือพูดง่าย ๆ คือที่ต้องรอ สามสี่วันใส่ก็คือเหมือนกับให้มันฟักออกจากไข่ก่อน จากนั้นเราก็ฆ่ามัน  แต่บางทีมันอาจจะมีไข่ที่แบบว่าฝักช้า ฝักเร็ว หรืออาจจะวางไว้หลายล็อต เราก็เลยต้องทำการเว้นระยะแล้วใส่ซ้ำครับ

ครีบเปื่อยหางเปื่อยต้องดูเรื่องน้ำก่อนครับ เพราะส่วนใหญ่เกิดจากคุณภาพน้ำที่ไม่ดี คำว่าคุณภาพน้ำไม่ดี นั้นไม่ใช่ว่าเราเปิดอ็อกซิเจนตลอดเวลา แล้วจะทำให้คุณภาพน้ำดีนะครับ ต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วยเช่นพวกค่าทางเคมีต่าง ๆ การเปิดอ็อกเพื่อเพิ่มอ็อกซิเจนในน้ำนั้นเป็นเรื่องดีครับ เพราะนอกจากปลาใช้ในการดำรงชีวิตแล้วพวกแบคทีเรีย จุลินทรีย์ ก็ใช้ในการย่อยสลายของเสียของปลาด้วยเช่นกันครับ  ก็ควรเปลี่ยนน้ำบ้าง อย่าเปลี่ยนน้ำบ่อย และอย่าเปลี่ยนจนหมดแท้งก์  ให้เปลี่ยน 30% - 50% ทุกสามวัน อันนี้ก็น่าจะเพียงพอครับ แต่ปัจจัยนี้ก็ต้องดูว่าคุณเลี้ยงปลาแน่นตู้ขนาดไหนด้วยนะครับ เพราะปลาแน่นตู้ ถ้าอยากเลี้ยงให้ปลาร่าเริงสดใสก็ต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยหน่อยครับ  การเปลี่ยนน้ำไม่ใช่ว่าเปลี่ยนเฉพาะน้ำนะครับ เป็นไปได้ให้หาทางดูดเอาของเสียที่กองก้นอยู่ในตู้ปลาออกมาด้วยครับ  ไม่ต้องห่วงว่าแบคทีเรียจะอดตายครับ เพราะปลาทองกินเก่งขี้เก่งครับแป้บ ๆ เดียวขี้ก็ออกมาเต็มก้นตู้อีกแล้ว

อาหารปลาทอง
ผมก็หัวสูงครับซื้อแต่ Hikari เลยครับ เพราะว่าผมไม่ชอบอาหารลอยครับมันชอบไหลลงกรองอยู่เรื่อยเลย ก็เห็นแค่ยี่ห้อ Hikari มีแบบเม็ดจมก็เลยซื้อมา  ราคาก็แพงกว่าชาวบ้านเขาแหล่ะครับ แต่ก็นะมันก็ตอบโจทย์ผมได้  ปลาทองแยกได้ครับถึงแม้ว่าตู้ผมจะมีกรวดเม็ดไม่เล็กมากอยู่ด้านล่าง ปลาทองเวลามันดูดหินเข้าไปมันก็บ้วนออกได้ครับไม่เป็นปัญหาแต่อย่างไร

การให้อาหารไม่ควรให้เยอะเกินครับ  เพราะว่าปลาทองจะป่วยได้ง่าย  แถมการให้กินเยอะก็เปลืองเปล่า ๆ ครับ ปลาทองมันไม่เคยอิ่มหรอกครับ ผมคาดว่ามันเกิดจากมันไม่มีกะเพาะอาหารมั้ง (ไม่ได้จบสัตว์แพทย์มา) กินแล้วก็ย่อยในลำไส้ ดังนั้นถ้าให้อาหารมากไป มันก็ออกตูดหมด  เท่าที่เคยสังเกตลูกปลาทองกินไรทะเลจนท้องเป่งมาก มันจะไม่กินเข้าไปอีกครับ คือมันจะเอาไปเคี้ยว ๆ แล้วก็บ้วนออกครับ

การให้อาหารมากก็จะทำให้เกิดของเสียมากขึ้นตามไปด้วย อย่้าลืมว่าการเลี้ยงปลาแบบนี้เป็นระบบปิด คือของเสียก็อยู่ในตู้นั่นแหล่ะ พอของเสียมากก็จะลากคุณภาพของน้ำให้ตกต่ำลงไปด้วย  จะเห็นได้ว่ามันสัมพันธ์กันไปหมด

เลี้ยงปลาเยอะ -> อาหารใส่ไปมาก -> ของเสียมาก -> คุณภาพน้ำลดลง -> ปลาป่วยง่าย -> ตาย

ปลาทองที่เลี้ยงในตู้อย่าไปคาดหวังให้มันโตครับ มันก็ได้ตามขนาดสภาพแวดล้อมนะครับ  ที่เราเห็นปลาตัวใหญ่ ๆ เพราะมันมาจากฟาร์ม ในฟาร์มเขาเลี้ยงกันเป็นบ่อ บ่อกว้างกว่าตู้มากครับ แถมถ้าเป็นพวกปลาเกรดสูง ๆ เลี้ยงกันบ่อละไม่กี่ตัวอีกต่างหาก ทำให้ปลาโตเร็วครับ  พอปลาโตเร็วฟาร์มก็ขายได้ราคา กิจการเขาก็ดำเนินต่อไปได้ครับ

ไรทะเล ผมก็ให้บ้างครับแต่ไม่บ่อยมาก นาน ๆ นึกขึ้นได้ก็จะไปซื้อสักที เวลาซื้อมาก็มาล้างน้ำจืดก่อนครับ เพราะไรทะเลมันอยู่ในน้ำเค็ม จากนั้นก็แช่ด่างทับทิมเพื่อฆ่าเชื้อสักเล็กน้อย แช่ไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นก็ล้างน้ำธรรมดา ล้างให้สะอาดสามสี่รอบ (กลัวตกค้าง) จากนั้น แช่ทิ้งไว้อีกประมาณ 10 นาที ก็เอาไปให้ปลากินครับ
ไรทะเล กับ ไรแดงไม่เหมือนกันนะครับ บางคนก็คิดว่าเป็นชนิดเดียวกัน  ไรทะเล มีอีกชื่อคืออาร์ทีเมียครับ เจ้าตัวนี้อาศัยอยู่ในน้ำเค็ม  ส่วนไรแดงนี่อยู่ในน้ำจืดตัวเล็ก ๆ ครับ สมัยก่อนหาได้ง่าย ยิ่งหน้าฝนนะครับ สมัยนี้ผมไม่เคยเห็นอีกเลย โดยมากแล้วไม่ค่อยมีขายตามร้านขายปลาหรอกครับ คนที่เพาะเลี้ยงปลาจะใช้ในการอนุบาลลูกปลาครับ เนื่องจากตัวมันเล็ก โปรตีนสูง ทำให้ลูกปลากินเข้าไปได้และทำให้ลูกปลาโตเร็วครับ

ลูกน้ำ ลูกน้ำนี่เป็นอาหารที่จะว่าหาง่ายก็หาง่ายนะ จะว่าหายากก็หายาก  แต่ลูกน้ำตามแหล่งน้ำสกปรกก็ไม่แนะนำนะครับ ถ้าเป็นลูกน้ำที่เพาะขึ้นมาเอง อันนี้ก็พอได้อยู่ครับ วิธีการเพาะก็ไม่ยุ่งยากอะไรก็เพียงแค่ใส่น้ำ ใส่เศษหญ้าแห่ง หญ้าสด ลงกระป๋องสีดำ ไปตั้งไว้ที่ที่มันอับลมสักนิดหนึ่ง  อีกสักสี่วันก็ได้ลูกน้ำมาปริมาณหนึ่งแล้วครับ แต่อาจจะไม่เยอะพอสำหรับปลาอ้วน ๆ  อันนี้ผมใช้เพาะลูกปลาทองที่เหลือ ๆ รอดมาอะไรแบบนี้ก็ใช้ได้ครับ  ลูกน้ำตัวเล็ก ๆ ลูกปลาทองก็กินสามารถที่จะกินได้ครับ

ด้วยความที่เป็นคนเมือง (ถึงจะบ้านนอก แต่ก็เมืองบ้านนอก) ก็ส่วนใหญ่เลยจะให้อาหารเม็ดครับ วันละสองมื้อ เช้า เย็น  บางทีแม่มาดูแม่ก็หยิบให้อันนี้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ส่วนใหญ่แล้วปลาทองก็กินได้ทั้งวัน ปัญหาคือการขับถ่ายของเสีย หรือคุณภาพน้ำมากกว่าครับ  อย่าให้อาหารปลาเหลือตกค้างในตู้ปลาครับ คือให้ทีละน้อย ๆ แต่ให้ปลาทองกินหมดจะดีกว่า

ผมมีทฤษฎีของผมเองอย่างหนึ่งครับ ทุกคนรู้จักขี้ใช่ไหมครับ ถ้าเราพิจารณาดี ๆ ขี้เนี่ย เป็นเศษเล็ก ๆ นะครับ ถึงแม้ว่าในตาเราจะมองเป็นว่ามันออกมาเป็นก้อน อย่างเช่นขี้หมา แม้กระทั่งขี้คน (ขี้ตัวเอง) ความจริงแล้วมันเป็นผง ๆ ครับ เป็นฝุ่นเลย  ขี้หนึ่งกอง กับหนูตายหนึ่งตัว ขนาดเท่า ๆ กัน  อันไหนเหม็นกว่ากันครับ ?   ผมว่าหนูตายน่าจะเหม็นกว่านะครับ  ผมจึงสรุปว่าถ้าเราปล่อยเศษอาหารให้เหลือในตู้ปลา มันก็เน่าเหมือนกันครับ แต่มันอาจจะทำให้คุณภาพน้ำแย่กว่าการมีขี้ปลาเหลืออยู่ในตู้ปลากว่ามากครับ  และเพื่อความประหยัดครับให้อาหารปลาแต่พอกินครับ เหลือก็เก็บไว้ให้พรุ่งนี้ก็ได้ อาหารปลาไม่เน่าเสียง่ายอยู่แล้วครับถ้าไม่โดนความชื้น

เมื่อซื้อปลามาเพิ่ม
บางทีเราไปเดินเที่ยว หรือเราอาจจะไปซื้ออาหารปลา เราอาจจะเห็นปลาที่เขาขาย เอ้ย สวยดี ราคาก็ได้อยู่ เราก็เลยซื้อมา

การซื้อปลามานั้น บางทีเราก็ไม่รู้ว่าปลาใหม่นำพาโรคอะไรมาบ้าง ผมหน่ะเจอประจำเลย ผมไม่มีตู้กักโรคปลา ผมก็เลยมักจะเอาปลาใหม่ไปผสมกับปลาเดิมเลย เลี้ยงรวมกันไปเลย  ผลปรากฎว่าสิ่งที่ผมได้รับคือเห็บปลา การกำจัดเห็บก็ใส่ยาว่ากันไปครับ

แต่การกระทำแบบผมนั้นเรียกว่าประมาทครับ อาจจะทำให้ปลาเก่าตายได้นะครับ ไม่ควรทำตาม  เป็นไปได้ก็ควรจะมีการกักโรคก่อน ระยะหลัง ๆ ผมก็กักมากขึ้นแบบว่ารำคาญเห็บ เป็นเห็บทีปลาเกล็ดถลอกปอกเปิดไม่สวยถึงแม้ว่าสักพักเกล็ดก็จะงอกออกมาใหม่ก็ตาม

ไม่ควรเลี้ยงปลาอื่นรวมกับปลาทองนะครับ ควรจะเลี้ยงปลาทองในวงศ์เดียวกัน ผมก็ไม่แนะนำให้เลี้ยงโคเม็ทรวมกับออลันดานะครับ  เพราะโคเม็ทมันจะออกแนว ๆ ปลาคาร์ฟมากกว่า  เลี้ยงพวกแฟนซีเทล (Fancy Tail) ก็เลี้ยง Fancy Tail ให้หมดเลยครับ

ควรหาปลาไซ้ร์สเดียวกันมาเลี้ยงครับ เพราะว่าปลาตัวใหญ่มักจะกินเก่งกว่าปลาตัวเล็ก ทำให้ปลาตัวเล็กได้อาหารน้อยลง


การทำความสะอาดตู้ปลา
อันนี้จะครอบคลุมเรื่องทั่ว ๆ ไป เช่นการเปลี่ยนน้ำ ความถี่หล่ะบ่อยไหม อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมนะเช่น เลี้ยงปลาค่อนข้างแน่น ก็ควรจะถ่ายน้ำบ่อยหน่อย  ถ้าถ่ายน้ำทุกวันก็สักวันละ 10% ของความจุทั้งหมด  หรือถ้า 3-5 วันครั้งก็สัก 30% - 50%   ปัจจัยที่จะทำให้เปลี่ยนน้ำบ่อยคือ ปริมาณของปลา  และอุปนิสัยของการเลี้ยงเช่นให้อาหารหนักมือ ปลากินไม่หมด เหลือตกค้าง อะไรพวกนี้ก็ทำให้คุณภาพน้ำเสียได้

การเปลี่ยนน้ำไม่ควรเปลี่ยนน้ำใหม่ทั้งหมด เพราะปลาทองอาจจะปรับตัวไม่ทัน เกิดสภาพของปลาช็อคน้ำ ตายได้

ใส่เกลือไหม ? ของผมนี่ไม่ได้ใส่เกลือนะครับ ก็เลี้ยงตามปรกติ บ้างก็ว่าให้ใส่เกลือลงไปหน่อย ก็แล้วแต่ครับลอง ๆ ดู แต่อย่าใส่หนักมือไปมากนักเพราะปลาทองเป็นปลาน้ำจืดนะครับ ไม่ใช่ปลาน้ำกร่อย หรือปลาน้ำเค็ม  ผมเข้าใจว่าเกลือที่ใส่ก็คือเกลือทะเลนะ อันนี้ไม่รู้เข้าใจถูกหรือเปล่านะครับ  แต่คิดว่าเกลือที่มีอยู่ และใช้ในตามครัวเรือน ในบางภูมิภาค ที่เขาไม่ได้ติดกับทะเล การหาเกลือทะเลมาใช้อาจจะยาก อาจจะใช้เกลือที่ทำมาจากหิน ซึ่งแตกต่างกัน  หรืออาจจะมีเกลือสังเคราะห์ที่ความเค็มมันสูงเกินไปใช้ไม่ได้  ผมเคยอ่านหลาย ๆ บทความผมก็งง ๆ อยู่ แต่อันนี้ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า   เกลือทะเลที่แพ็คเป็นถุง ๆ ที่เขาเติมไอโอดีนไว้แล้วนั่นก็ใช้ไม่ดีครับ  เพราะมันมีไอโอดีเจือปน กันปลาเป็นโรคเอ๋อ (ไม่ใช่แล้ว)

ถ้าตู้เรามีกรองก็ทำความสะอาดกรองบ้าง แต่ไม่ต้องทำบ่อยนักประมาณสัก 3-4 เดือนครั้ง ก็แนะนำว่าถ้าวันไหนจะล้างกรองก็เหลือน้ำในตู้ไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเหลือได้ เพราะว่าเวลาเราล้างกรองบางทีแบคทีเรียที่อยู่ในกรองก็จะหายไปกับน้ำ หรือตายเป็นจำนวนมาก บางบทความเขาบอกให้เอาน้ำเลี้ยงปลามาล้างกรองด้วยซ้ำ  แต่ผมว่าล้างด้วยน้ำประปาไปเหอะ เก็บน้ำเลี้ยงปลาไว้ง่ายกว่า  พอแบคทีเรียหายไปมาก ๆ ก็จะทำให้ระบบกรองนั้นไม่ทำงาน คือกรองยังไม่เซ็ตตัว กรองล่มอยู่ ซึ่งถ้าเราเหลือน้ำเก่าไว้ในตู้ก็จะเหมือนเลี้ยงแบ็คทีเรียส่วนหนึ่งไว้ กรองก็จะกลับมาทำงานได้ดี  พอล้างกรองก็ใจเย็น ๆ น้ำอาจจะไม่ใสในช่วง 2 - 3 วันแค่นั้นเอง ไม่ต้องตกใจเปลี่ยนน้ำซ้ำลงไป ลดปริมาณอาหารลงก็น่าจะช่วยได้ แต่ผมก็ให้ปริมาณเดิมนั่นแหล่ะ ไม่เห็นเป็นอะไร น้ำก็ไม่ได้ขุ่นอะไรมากมายนัก

แต่โดยรวม ๆ แล้วก็ไม่มีกฎเกณฑ์ทางด้านเวลาอะไรเป๊ะ ๆ หรอกครับเพียงแต่ต้องอย่าลืมดูแลมันบ้าง เพราะสิ่งปฏิกูลมันอยู่ในตู้ ระบบมันเป็นระบบปิด ก็ต้องมีการทำความสะอาดกันบ้างในบางเวลาที่เราว่าง ๆ

อายุของปลาทอง และอุณหภูมิน้ำ
เท่าที่เลี้ยงมาปีครึ่ง อุณหภูมิน้ำผมเฉลี่ย ๆ อยู่ที่ 32 องศา ในตู้ปลาผมก็มีเทอร์โมมิเตอร์อยู่อันหนึ่ง เท่าที่สังเกตดูไม่ค่อยขึ้นหรือลงอะไรนะครับ  ส่วนตอนนี้เลี้ยงมาแล้ว ชุดแรกที่ซื้อมาเลี้ยงก็ยังมีชีวิตอยู่นะครับ แต่ก็มีหลาย ๆ ตัวที่ตายไป  ผมก็ไม่รู้นะครับเวลาปลาทองผมจะตายเนี่ย อาการของมันก็คือ ว่ายน้ำทรงตัวผิดปรกติ เกล็ดพอง แต่ก็ไม่ได้มีอาการของการอักเสบคือตกเลือดหรือบวมแดง  ตัวบวมขึ้น จากนั้นมันก็จะหมดแรงลอยหงายท้อง ไม่ว่ายน้ำ แต่ก็ยังหายใจพะงาบ ๆ อยู่ แล้วก็ตาย   ครีบส่วนใหญ่ก็เหมือนจะมีอาการของการเปื่อยเป็นริ้ว ๆ ผมก็ไม่รู้ว่านี่คืออาการป่วยของปลาหรือเปล่า แต่คิดว่าอวัยวะภายในมันล้มเหลวแล้วหรือเปล่า เพราะตอนนั้นเห่อ ซื้อปลามาหลายตัว พอครบปี ปีกว่า มันก็เริ่มทยอย ๆ ตาย  ในเวลาใกล้ ๆ กัน ทิ้งกันสัปดาห์หนึ่ง เดือนหนึ่งก็มี แต่มันก็เป็นทีละตัว  อาการไม่เหมือนกับปลาเกล็ดพองเพราะคุณภาพน้ำไม่ดี   ผมคิดว่าอาการแบบนี้น่าจะถึงเวลาของมันหรือเปล่า

บางตำราก็ว่าปลาทองอายุยืน แต่ถ้าพิจารณาจากอุณหภูมิน้ำที่ผมเลี้ยงกดไป 32 เห็นมีหลาย ๆ บทความก็ว่าการที่น้ำอุณหภูมิสูงจะเป็นการเร่งวงจรชีวิตของสัตว์น้ำให้สั้นลง  อันนี้ผมก็ไม่รู้ ท่านใดมีความรู้ก็แชร์ ๆ ผมด้วยนะครับ

มีปลาอยู่ตัวหนึ่งเจ้าของเขาให้ผมมาเขาเลี้ยงมาแล้วปีกว่า ๆ แต่เขาเลี้ยงคงใช้น้ำอุณหภูมิไม่เท่าของผม เพราะตู้ผมโดนแดด เช้า-เย็น  ปกติห้องผมร้อนแต่ผมชินแล้วมีพัดลมเป่าอยู่ตัวหนึ่งผมก็อยู่ได้  ผมก็เลี้ยงปลาตัวนี้ไปได้อีกปีเกือบครึ่งก็ตาย (แสดงว่าตัวนี้อายุน่าจะราว ๆ 2 ปีครึ่ง)   แต่ตอนนี้ปลาที่ผมเลี้ยงตั้งแต่ตอนที่ซื้อตู้มาใหม่ ๆ ก็ยังอยู่นะครับ เหลืออีกสี่ตัวได้  ณ วันนี้อายุมันก็น่าจะราว ๆ ปีครึ่งแล้วครับได้มาตอนไปเที่ยวฟาร์มแหล่ะครับ แสดงว่าปลาฟาร์มของคุณลุง น่าจะอายุยืนนะ ว่าง ๆ จะไปบ้านโป่งซื้อปลาตัวโต ๆ  มาเลี้ยงบ้าง :)





อ่านต่อ ... หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาอีก 3 ปี
เคล็ดลับการเลี้ยงปลาทองให้อยู่รอดได้นาน ๆ




34 ความคิดเห็น:

  1. เลี้ยงไปก็ไม่ค่อยรอดเบื่อมาก

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ใจเย็น ๆ ครับมันเป็นวิทยาศาสตร์ครับ แรก ๆ ผมก็เลี้ยงตายเยอะเหมือนกัน

      ลบ
    2. ครับ เราต้อง ค่อยดู แล้วอ่านความรู้ไว้เยอะๆแล้วลองไปปรับใช้ให้ ดีที่สุดที่เราจะทำได้ครับ

      ลบ
    3. ปัญหาเรื่องปลาตาย ผมว่าโดยส่วนใหญ่แล้วก็น่าจะเป็นเรื่องของน้ำประปานะครับ เพราะเป็นแหล่งน้ำที่หาง่ายสุดแล้วหล่ะ ความสะอาดก็ดีเยี่ยม ผมเคยเห็นคนที่หอผมใช้น้ำที่เขากดจากตู้กดหยอดเหรียญนะครับมาเลี้ยงอันนี้ก็ลงทุนดีนะครับ แต่ถ้ารักจะเลี้ยงก็อย่างที่บอกแหล่ะครับว่าถ้าไม่อยากให้ป่วยการเตรียมน้ำก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ อันดับต้น ๆ เลย คลอรีนเป็นพิษกับปลารุนแรงนะครับ มีเพียงนิด แต่อย่าลืมว่ากว่ามันจะระเหยออกหมดก็นานนะครับ นานพอที่จะทำให้ปลาตายได้ เหมือนกับถ้าเราทาสีห้องใหม่ เราก็อยู่ไม่ได้หรอกครับอาจจะต้องทิ้งไว้เป็นสัปดาห์เลยนะครับกว่ากลิ่นสีจะหายเหม็น ในตำราเมืองนอกเขาบอกเลยนะว่าคุณต้องมีชุดตรวจสอบน้ำเลยนะครับถ้าจะเลี้ยงปลาหน่ะ ต้องวัดหลายค่าให้เห็นกันเลยว่าตายเพราะอะไร คือเขาจะไม่ปล่อยปลาลงน้ำที่ไม่มั่นใจเลยเชียวแหล่ะครับ

      ดังนั้ันง่าย ๆ ครับผมให้คิดแบบนี้ ถ้าเราไม่มั่นใจในน้ำ เราปล่อยปลาลงไป เท่ากับเรากำลังจะทำเงินหายแล้วนะครับ ทางที่ดีก็จะต้องใจเย็นนิดหนึ่งนะครับ เข้าใจครับว่าวัยรุ่นใจร้อน

      สวนเรื่องน้ำขุ่นนั้นมักจะพบตอนที่เราซื้อตู้ใหม่ หินใหม่ ทุกอย่างใหม่หมดจด เพราะว่าระบบมันยังไม่นิ่ง ไม่เซ็ตตัวนะครับ ทางทีดีก็ใส่ไปนั่นแหล่ะครับ แล้วรอสองสามวัน แอบใส่อาหารหรือเศษอาหารไปสักนิดหนึ่งก็ดีนะครับ เพื่อให้จุลินทรีย์ได้มีอาหาร แต่ถ้าเป็นกังวล ก็แนะนำว่าให้ทิ้งไว้สักพักสองสามวัน คลอรีนหาย ซื้อปลามาสักตัว เลี้ยงไปสักสัปดาห์หนึ่ง ที่เลี้ยงน้อยก็เพื่อจะเอาขี้ปลาตัวนี้เป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ในน้ำ พอจุลินทรีย์ในน้ำมีมาก (อาจจะมองไม่เห็น) น้ำก็จะใสได้ครับ แต่ซื้อปลาครั้งแรกมาเยอะ คุณภาพน้ำจะแย่นะครับเพราะปลาถ่ายกันเยอะ จุลินทรีย์โตไม่ทัน กว่าระบบจะเข้าที่ปลาอาจจะป่วยตายไปเสียก่อน แถมน่าหงุดหงิดอีกเพราะน้ำขุ่น (ทีนี้บางทีพอเห็นน้ำขุ่นก็เปลี่ยนสิ กลายเป็นว่าไปลดจำนวนจุลินทรีย์อีก .. จุลินทรีย์ก็แพ้คลอรีนนะ)


      การเป่าปากปลา ไม่น่าจะเป็นการรักษาปลานะครับ เพราะโดยอวัยวะที่ใช้ในการหายใจแล้วเราแตกต่างกันครับ พิจารณาจากสัตว์บกกับสัตว์น้ำ วิธีในการบริโภคอ็อกซินเจนก็แตกต่างกันนะครับ อย่างเรามีปอด แต่ปลามีเหงือก ถึงแม้ว่าจุดประสงค์จะแบบเดียวกัน แต่วัตถุดิบที่ป้อนให้ไปคงไม่เหมือนกันนะครับ



      ลบ
    4. เรื่องอ็อกซิเจนนั้นแนะนำให้ใช้เป็นพวกกระปุกกรองจะดีกว่าหัวทรายนะครับ เพราะว่าพวกกระปุกกรองนั้นเป็นแหล่งที่อยู่ของจุลินทรีย์ได้ ทำให้น้ำน่าจะใสกว่าใช้แบบหัวทรายนะครับ

      ลบ
  2. สงสารมันอะคะ ตอนนี้ป่วยค่อยๆ ทtยอยกันตาย พาเราอดนอนไปด้วย แย่จัง ใส่เกลือก้อแล้วอดอาหารก้อแล้ว ไม่รุ้ทำไงดี

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ปลาป่วยรักษาไม่ค่อยหายหรอกครับ หายยาก ผมก็เคยรักษาหายนะแต่มันก็อยู่ได้ไม่นานมันก็ป่วยอีก บางทีมันเป็นที่การคัดเลือกทางธรรมชาติหน่ะครับ ปลาเกิดทีเป็นหมื่น เป็นพัน มันก็จะมีน้อยตัวที่แข็งแรงมาก ๆ

      ที่ทำได้ก็ทำใจกับพยายามคิดหาสาเหตุว่าเราไปทำอะไรให้มันป่วยหรือเปล่า ? จะได้เป็นประสบการณ์ในการเลี้ยงรุ่นต่อ ๆ ไป

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ14 เมษายน 2557 เวลา 06:25

    กำลังศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจเลี้ยงครับ มีคำถามเรื่องอุณหภูมิครับว่า ถ้าเราเลี้ยงในห้องคอนโดซึ่งอุณหภูมิอาจไม่คงที่(บางช่วงเปิดแอร์บางช่วงไม่เปิด)จะสามารถเลี้ยงได้มั๊ยครับ มีปัญหากับอุณหภูมิในตู้หรือเปล่าครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ปริมาตรน้ำ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งครับ ถ้าเลี้ยงน้ำน้อยอุณหภูมิจะเปลี่ยนได้เร็ว การให้อาหารด้วยถ้าเลี้ยงให้อาหารมากปลาก็จะอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ง่าย คือป่วยง่าย ผมว่าปัจจัยน่าจะอยู่ที่ระดับการให้อาหาร ต้องอย่าให้อาหารเยอะเกินไป ปลาจะได้แข็งแรง

      ตำราเมืองนอกบอกเขาใช้สูตรน้ำ 75 ลิตร / ปลาทอง 1 ตัว (แต่ไม่ได้แจ้งขนาดปลา คิดว่าคงเป็นปลาเล็กเลี้ยงแบบเผื่อโต)

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ14 เมษายน 2557 เวลา 20:56

      ขอบคุณครับ

      ลบ
  4. อยากทราบว่า ถ้าผมจะทำปั๊มบนผมควรใช้อ๊อกหัวทรายอยู่รึป่าวครับ แล้วถ้าใส่หินกับใส่บ้างเล็กน้อยแบบไหนดีกว่าครับ อีกเรื่องครับ ปั๊มน้ำที่อยู่ในน้ำที่ต่อเข้ากับปั๊มบนได้อะครับถ้าจะซื้อจะบอกทางร้านว่าอะไรครับ. แล้วสายที่ต่อจากปั๊มน้ำเข้ากรองน้ำควรใช้สายอะไรครับช่วยแนะนำหน่อยครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ในการปั้มน้ำเพื่อให้น้ำได้มีการขยับตัวบ้าง ก็ทำให้มีโอกาสได้อ็อกซิเจนเพิ่มขึ้น ถ้าอ็อกซิเจนเพียงพอกับปลาก็ไม่ต้องใส่หัวทรายก็ได้ครับ พยายามเข้าใจอย่างนี้ครับการใส่ปั๊มได้ผลพลอยได้คือระดับอ็อกซิเจนที่ละลายในน้ำ แต่ถ้าปลาแน่นไป ระดับที่ได้มาไม่เพียงพอก็ต้องใส่หัวทรายเข้าไปครับเพื่อเพิ่มอ็อกซิเจนให้เพียงพอ หรือมากเกินพอ


      การใส่หินก็เพื่อความสวยงามของตู้นะครับ ถ้าหินที่มีความเป็นรูพรุนสูง ๆ เช่นพวกหินภูเขาไฟ หินพัมมิส ก็จะช่วยในเรื่องของการเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรียย่อยสลายของเสียครับ แต่ก็ต้องจ่ายด้วยความยากในการทำความสะอาดนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกแบบไหนครับ ... คือหินไม่ได้มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของปลาครับ การดำรงชีวิตของปลาหลัก ๆ ก็คือ น้ำสะอาด กับ อ็อกซิเจที่เพียงพอ จึงบอกไม่ได้ว่าแบบไหนดีกว่าครับ ขึ้นอยู่กับว่าเวลาคุณจะเอาขี้ปลาออกจากตู้ถ้ามีหินก็ยากเพราะขี้ปลาไปหลบที่หินเยอะ ถ้าไม่มีหินก็ง่าย ..... ถ้ามีหินประดับตู้ก็แลดูสวย ถ้าไม่มีหินตู้ก็จะแลดูโล้น ๆ ไป ถ้าคุณจะเลี้ยงปลาให้ดูสวยก็อาจจะต้องเลือกใส่หิน แต่ถ้าเลี้ยงปลาในเชิงพัฒนา เชิงการค้า หรือเชิงวิจัย เรื่องหินอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ครับ


      บอกเขาว่า ระบบกรองบนครับ ลองดูครับเดี๋ยวร้านก็จะจัดหามาให้เอง สายลำเลียงน้ำหากว่าเป็นเส้นตรงน้ำก็จะเดินได้สะดวกทำให้น้ำขึ้นสูง ๆ ได้ น้ำวิ่งในสายลำเลียงได้มากกว่าก็จะได้ปริมาณมากด้วย แต่ถ้าคดหรือสายอ่อนไปอ่อนมาได้ การลำเลียงน้ำก็จะไปได้ไม่สูงครับ และได้ปริมาณน้อยลงครับ ส่วนเรื่องสายมันก็มีสายอ่อนงอได้ขายนะครับ แต่ไม่แน่ใจว่าจะต่อกับปั๊มได้ทุกรุ่นหรือเปล่า อันนี้ต้องลองหาดู บางทีก็ต้องลองโมดิฟายดูครับ เพราะบริษัทที่ทำปั๊มไม่ได้ทำสายแถมมาด้วย ของผมใช้ท่อ PVC ลนไฟครับ แต่ผมก็เห็นมีสายงอได้ขายนะครับ ลองดูที่เว็บ

      http://www.smilepetshop.com/product-th-495804-สายยาง+ข้อต่อปั๊มน้ำ+ปั๊มลม+และอุปกรณ์เสริม.html

      ลบ
  5. ปลาทองชอบนอนอยู่ก้นตู้ ถ้าไม่ใช่เวลาอาหาร เป็นอาการผิดปกติรึเปล่าคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ผิดปกติครับ ปกติปลาจะว่ายไปมา อย่างน้อยก็จะมีการหันหน้าบ้าง ถ้านอนเก็บครีบเรียบร้อยนั่นอาจจะป่วย ลองงดอาหาร เปลี่ยนน้ำ

      ลบ
  6. เพึ่งหัดเลี้ยงปลาทองเจอบทความนี้แจ่มแจ้งหายข้อสงสัย ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  7. ของนุ๊กไปงานวัดมาค่ะ ไปตักมาเล่นๆไม่ได้กะว่าจะเลี้ยงแต่ทีนี้ไปตักมาทุกวันได้เยอะมากคะ แต่ว่าไม่ได้เตรียมที่จะเลี้ยงมันไว้เลยคือตักมาแล้วก็เทลงในกาละมังเล็กได้ปลารวมมาค่ะมีหลายชนิด แต่ว่าต้อนแรกเลี้ยงก็ไม่มีปัญหาอะไรนะค่ะ แต่พอมาวันนี้เอาเครื่องทำออกซิเจนมาใส่ลงในกะละมัง พอประมานตี1เครื่องปั้มเสียงดังมากนอนไม่หลับแฟนเลยปิด พอตีสามมาเปิดดูปลาทองตายหมดเกลี้ยงเลยค่ะ เหลือแต่ปลาตัวเล็กๆ อยากทราบว่าสาเหตุการตายของมันน่าจะเกิดจากอะไรค่ะ ช่วยบอกด้วยนะค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ข้อมูลน้อยเกินไปหน่อยนะครับ แต่เท่าที่ดูคือแค่ 2 ชั่วโมงปลาทองตายหมด ก็สันนิษฐานว่า เกิดจากอ็อกซิเจนในน้ำไม่พอ ตอนก่อนที่จะซื้ออ็อกซิเจนใส่ปลาทองก็จะเนือย ๆ ฮุบน้ำที่ผิวน้ำ พยายามเคลื่อนไหวให้น้อยไม่ว่ายน้ำมาก ตอนช่วงนั้นก็ใช้อ็อกซิเจนน้อย พอซื้ออ็อกซิเจนใส่เข้าไปปลาก็เลยเข้าใจว่าเขาจะมีอ็อกซิเจนไม่จำกัดก็เลยมีการเคลื่อนไหวมากขึ้นร่าเริงมากขึ้น ทำให้มีการใช้อ็อกซิเจนมากขึ้น แล้วจู่ ๆ ไปดับมัน คาดว่าอ็อกซิเจนคงจะหมดอย่างรวดเร็ว + จำนวนปลาที่มาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าปลาทองมีกี่ตัวขนาดไหน น้ำกี่ลิตร แต่โดยมากตายฉับพลันก็คงเป็นเรื่องอ็อกซิเจนไม่พอแหล่ะครับ เคยมีข่าวออกอยู่ครั้งหนึ่งไฟดับที่ตลาดปลาสวยงามตอนกลางคืน ทำให้ปลาตายเป็นเบือ สร้างความเสียหายหลายบาทเลยนะครับ
      http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000060129
      ไฟดับ 13 ชั่วโมงแต่ปลาอาจจะตายก่อนหน้านั้นไปแล้วก็ได้นะครับ

      ลบ
  8. ถ้าเราจะพักเครื่องอ็อก เราพักได้ไหมคับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. พักได้ครับ ... อากาศจะยังคงละลายอยู่ในน้ำ จนกว่าปลาทองจะใช้หมดไป เมื่อนั้นก็ต้องเปิดใหม่

      แต่ผมเปิดทั้งวันทั้งคืน

      ลบ
  9. ถ้าเลี้ยงปลาทองและปลาบอลลูนไว้ในโหลพลาสติกเเต่เเยกไว้ชนิดละโหลปลาบอลลูนเอาไว้โหลนึงปลาทองก็เอาไว้อีกโหลนึงนี่ปลาจะเป็นอะไรไหมคะ?ละถ้าไม่ใช้อ๊อกแต่เลี้ยงพืชน้ำจะสามารถให้ออกซิเจนแก่ปลาได้หรือปล่าวคะ?

    ตอบลบ
  10. ถ้าเลี้ยงปลาทองและปลาบอลลูนไว้ในโหลพลาสติกเเต่เเยกไว้ชนิดละโหลปลาบอลลูนเอาไว้โหลนึงปลาทองก็เอาไว้อีกโหลนึงนี่ปลาจะเป็นอะไรไหมคะ?ละถ้าไม่ใช้อ๊อกแต่เลี้ยงพืชน้ำจะสามารถให้ออกซิเจนแก่ปลาได้หรือปล่าวคะ?

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เกรงว่าพืชน้ำจะแย่งอ็อกซิเจนปลาทองในเวลากลางคืนหน่ะสิครับ แล้วก็ผมว่าพืชน้ำไงก็ไม่เพียงพอหรอกครับการสังเคราะห์แสงมันไม่ได้อ็อกซิเจนกลับมามากมายขนาดนั้น รวมทั้งปัจจัยการสังเคราะห์แสงเองก็มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะเช่นความเข้มแสง ถ้าความเข้มแสงไม่ถึงมันก็ไม่ทำงานอีกนะครับ

      ลบ
    2. แล้วจะทำไงดีคะ?ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ

      ลบ
    3. แล้วจะทำไงดีคะ?ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ

      ลบ
    4. ก็ใช้วิธีทั่วไปแหล่ะครับ ใช้อ็อกซิเจนอันละไม่กี่สตางค์ก็ได้ครับ ปัญหาที่แท้จริงก็คือความจริงจังที่จะเลี้ยงมันมากกว่าครับ อยากจะเลี้ยงแบบไหนอย่างไร

      ลบ
  11. มันเป็นความรู้ที่สุดยอดมากครับ ขอบคุณจริงๆ ผมเองก็เพิ่งหัดเลี้ยง เลี้ยงมาได้ 2 วัน ตู้เล็ก ไม่เน้นตู้สวยงาม เน้นคุณภาพน้ำอย่างที่คุณแนะนำครับ ใช้เครื่องกรองฟองน้ำธรรมดาอันละ 60 บาท ให้อาหารครั้งละน้อยๆ พยายามไม่ให้อาหารเหลือ ถ้าเหลือก็จะตักทิ้งทันที วันนี้วันที่ 2 ที่เลี้ยง น้ำขุ่น(เป็นปกติ) 555 ไม่ได้คาดหวังให้น้ำใส เพราะผมไม่ได้ทำที่กรองแบบชีวภาพครับ แต่เน้นคุณภาพน้ำเอาดีกว่า เพื่อให้ปลาแข็งแรงและอยู่กับเรานานๆ มีอะไรแนะนำได้ก็แนะนำมานะครับ ผมเอาคำแนะนำดีๆ ของคุณไปใช้ตั้งหลายอย่างครับ ขอบคุณมากครับ ^_^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับ

      ผมมีเคล็ดลับที่เพิ่งจะเผยแพร่เกี่ยวกับเคล็ดลับการเลี้ยงปลาทองนะครับ เพิ่งจะเผยแพร่วันนี้เอง ยังไม่เสร็จดีนะครับจะทยอย ๆ ใส่สิ่งที่รู้ผ่านการเลี้ยงปลาทองมาหลายปีของผมลงไป หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

      ขอบคุณครับ

      ลบ
  12. อ่านมาเจอความเห็นด้านบนที่บอกว่ากระปุกกรองดีกว่าหัวทราย อันนี้ผิดนะครับ หัวทรายทำออกมาเพื่อรีดฟองอากาศให้เล็กเพราะยิ่งฟองละเอียด พื้นที่ผิว/ปริมาตรของก๊าซก็จะสูง ทำให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนถ่ายออกซิเจนลงไปในน้ำได้เยอะ กระปุกกรองเอาจริงๆ ช่วย"กัก"ขี้ปลาไม่ให้ลอยได้ ดูน้ำใส แต่ของเสียไม่ได้ออกไปไหน แถมเวลายกขึ้นมาล้างก็ฟุ้ง กระปุกกรองนี่เหมาะกับร้านขายปลาที่เขามีหลายๆตู้เพราะเขาไม่ต้องต่อกรองทุกตู้ มีปั้มลมตัวใหญ่ตัวเดียวพอ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับสำหรับความคิดเห็น รายละเอียดผมมาตอบให้ด้านล่างนะครับ

      ลบ
  13. บทความผมชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแบคทีเรียที่คอยกำจัดแอมโมเนียที่เกิดขึ้นจากการย่อยสลายของของเสียครับดังนั้นเมื่อเลี้ยงแบบไม่ได้มีระบบกรองมันจะเลี้ยงได้ยาก คือควรจะต้องมีที่อยู่ให้แบคทีเรียสักนิดหนึ่งนะครับ

    ประเด็นแรก คือปลาทองก็ไม่ได้ใช้อ็อกซิเจนเยอะขนาดที่จะทำให้อ็อกซิเจนวิ่งผ่านกรองกระปุกถึงกับไม่พอ ใช่ที่คุณพูดนั้นไม่ผิดหรอกครับ แต่คุณอาจจะต้องยกเหตุผลประกอบว่านอกจากเรื่องนี้ที่ให้อากาศได้มากกว่ากรองกระปุกแล้วมีด้านใดอีกบ้าง

    ประเด็นที่สอง ผมคิดว่าปลาทองชอบน้ำที่ปราศจากตะกอน น้ำใส ไม่ขุ่น ปลาจะไม่เครียด การใช้หัวทรายนั้นไม่ได้ช่วยในเรื่องนี้ การใส่กรองกระปุกหรือกรองฟองน้ำที่ช่วยลดตะกอนแขวนลอยในน้ำจะช่วยให้ปลาเครียดน้อยลงนะครับ

    ประเด็นที่สาม กรองกระปุกนั้นสามารถถอดล้างได้ ส่วนจะฟุ้งหรือไม่ฟุ้งมันก็แล้วแต่เทคนิคส่วนบุคคลนะครับอันนี้ ให้ผมแนะนำคุณก็เอาขันลงไปช้อนสิครับแล้วยกขึ้นมาพร้อมขัน มันก็ไม่ฟุ้งแล้ว ซึ่งอย่างที่คุณรู้มันช่วยดักจับตะกอน นั่นแปลว่ามันจะรวบรวมของเสียให้อยู่รวมกัน ทำให้เกิดความสะดวกในการเอาของเสียออกจากระบบใช่หรือไม่ ?

    ขอบคุณครับที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ


    ตอบลบ
  14. ร้านวารินปลาสวยงามมีอุปกรณ์การเลี้ยงปลาและปลาสวยงาม พร้อมทั้งตู้ปลาสนใจเข้าไปดูได้ที่เวปไซ์ด https://warinaquariumshop.wixsite.com/website/gallery

    ตอบลบ
  15. เอาจริงๆนะ ไม่ควรเวิ่นเว้อเปรียบเทียบอะไรพูดเนื้อๆเลยจะดีมาก

    ตอบลบ
  16. เอาจริงๆนะ ไม่ควรเวิ่นเว้อเปรียบเทียบอะไรพูดเนื้อๆเลยจะดีมาก

    ตอบลบ
  17. ได้ความรู้เยอะเลยน่ะเนี่ยเลี้ยงปลาทองทีไรตายทุกทีน่าจะเป็นที่น้ำรึป่าวก็ไม่แน่ใจ

    ตอบลบ