วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สัตว์เลี้ยงของผม คือ ... ปลาทอง


วันนี้ผมจะมาเล่าถึงสัตว์เลี้ยงของผมเอง ... ปลาทอง
เหล่าลูก ๆ ปลาทองของผมเอง วันที่ 30 ธันวาคม 2555

เท้าความยาว ๆ ไปถึงสมัยเด็ก ๆ เลย  ผมมีตาคนหนึ่งชื่อว่าตาหวล (หวล อินทรไพโรจน์)   คงจะไม่พูดถึงแก (หมายถึง ท่าน) ก็คงไม่ได้  ตาหวลไม่ได้เป็นตาแท้ ๆ ของผมหรอก แต่เป็นเพื่อนของตาผมอีกทีหนึ่ง แกก็มีความสนิทชิดเชื้อกับบ้านผมมาก ผมรู้จักแกก็ตอนแม่ให้ไปเรียนพิเศษกับแก สมัยนั้นจำได้ว่า ผมน่าจะอยู่สัก ราว ๆ ประถมต้นนะจำไม่ค่อยได้เหมือนกัน แต่ผมว่าผมเรียนกับแกมาตั้งแต่สมัยอนุบาลแหล่ะ แต่ความทรงจำผมสมัยอนุบาลค่อนข้างจะเลือนลาง

บ้านแกอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้อง ๆ กับบ้านแม่ผมเอง แกมีลูกชายเยอะ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะ 5 คน ผู้ชายล้วน ๆ ลูกชายคนสุดท้องนี่แหล่ะ ที่ชอบเลี้ยงสารพัดสัตว์ บ้านแกมีทั้งปลาทอง ปลาหางนกยูง นกยูง ไก่แจ้ ปลาคราฟ ปลาเทวดา  แต่ตาหวลชอบเลี้ยงปลาทอง  บ้านแกมีพื้นที่มากมาย แต่มันอยู่ลึกเข้าไป ปัจจุบันด้านหลังก็เป็นป่า เพราะไม่มีคนดูแลรักษา แม่เล่าให้ฟังว่าบ้านแกมีเนื้อที่กว้างมาก กินบริเวณป่าด้านหลังไปอีกหลายไร่ แต่ทางเข้าไม่มีนอกจากหน้าบ้านแก .... ก็คงจะมีลักษณะเหมือนขวดปากแคบแต่ไปบานตูด (ตูดกว้าง) สรุปก็คือบ้านนี้ใช้พื้นที่จิ๊ดเดียวด้านหน้า ที่เหลือเป็นป่า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าผมเป็นเจ้าของที่แปลงนั้นผมจะทำมันอย่างไร ก็คงเหมือนตาหวล กับน้ำเจี้ยบนี่แหล่ะมั้ง  ถ้าทำทางเข้าก็คงต้องรื้อบ้านทิ้งเลยทีเดียวเชียว ....  ปัจจุบันลูกชายสี่คนแยกย้ายกันไปตั้งครอบครัว เหลือไว้แต่น้าเจี้ยบนี่แหล่ะที่ยังอยู่บ้านนี้   ตาหวลเป็นคนที่อัธยาศัยดี เจ้าบทเจ้ากลอน ชอบอ่านหนังสือ  แต่ดันทะเลาะถึงขั้นไม่เผาผีกันเลยทีเดียวกับเพื่อนสนิทก็คือป้าเจ้ (บ้านป้าเจ้ อยู่ถัดเข้าไปที่ดินติดกัน) แม่เล่าว่าไม่รู้ไปเถียงไปขัดคอกันท่าไหนตั้งแต่นั้นมาจากสนิทกันก็ไม่พูดกันอีกเลย  ปัจจุบันนี้ทั้งสองคนนี้ก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว

บางเวลาที่ผมนั่งดูปลาทองก็จะอดนึกถึงแกไม่ได้ เพราะว่าผมค่อนข้างจะสนิทกับแก คือตอนเรียนก็เป็นศิษย์รักแหล่ะ เรียนเก่งกว่าเพื่อน (อิอิ) ก็เลยได้รับอิทธิพลนี้มาจากตาหวล โดยไม่รู้ตัว ผมเลี้ยง ต้องบอกว่าพยายามเลี้ยง ปลาทองมาตั้งแต่เด็ก  ไปซื้อมาเลี้ยงแล้วก็ตาย เลี้ยงแล้วก็ตาย เนื่องจากว่า ไม่ค่อยมีใครรู้วิธีที่ถูกต้องนักสมัยนั้น แม้แต่ตาเองก็ด้วย ผมเองก็พยายามเลี้ยงโดยอาศัยต้นแบบจากตานั่นแหล่ะ   จนป้าผมบอกว่าปลาตัวที่ถึงฆาตก็คือปลาที่ผมซื้อมาเลี้ยงเหอ ๆ ๆ

ผมก็เลี้ยงตายไปเยอะ สมัยนั้น ปลาที่ตาหวลเลี้ยงแกจะใส่บ่อซีเมนต์ แล้วมีบัวต้นหนึ่ง อันนี้คือเสต็ปของแกเลย (ไม่ใส่อ็อกด้วย แต่ปลาก็รอดมาได้ ... แต่ก็รอดได้ไม่นาน)  สมัยก่อนผมชอบดูมากตอนที่ปลาทองในบ่อ เล่นน้ำฝน  พอตอนผมอยู่มัธยมผมก็มีตู้ปลาอันหนึ่งแล้วเป็นตู้ปลาขนาดไม่ใหญ่มาก ประมาณ 15 นิ้วมั้ง (ตู้ปลาเขาวัดกันตามแนวนอน)  ก็จะวางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือผม เวลาผมเขียน หรือผมนั่งบนโต๊ะก็จะเห็นปลาทอง  มีเอาโคมไฟอ่านหนังสือวางให้แสง ๆ มันแยง ๆ เข้าตู้ด้วย สวยดี  ตอนนั้นก็ได้สังเกตว่า ปลาเวลาไม่เปิดอ็อกมันจะลอย แต่ถ้าเปิดมันจะไม่ลอย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ปิดอ้อก ปลาก็รอดมากขึ้น

พอมันรอดมานาน ก็เริ่มอยากจะรู้ว่าปลาทองมันออกลูกอย่างไง ? ไปถามตา ตาก็ไม่รู้   มีแค่คนบอกว่าเอามารวมกัน แล้วพอเช้ามันจะไข่ก็ให้เอาปลาทั้งคู่ออก  มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเห็นมันไล่ ๆ กันตอนกลางวัน ผมก็เลยไปเตรียมสาหร่ายมา เตรียมกะละมังมา  พอค่ำผมก็ย้ายปลาที่ไล่กันมาไว้ในกะละมังมีสาหร่ายด้วย ตอนเช้าก็เห็นเป็นเม็ดสาคู แล้วก็เลยเอาปลาออก จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ ม.6 แล้ว  แล้วก็รอจนกระทั่งเห็นมันออกเป็นตัวคล้าย ๆ กับลูกปลาหางนกยูง แล้วผมก็ไม่ได้เลี้ยงต่อ เพราะต้องสอบไปเรียนมหาวิทยาลัย  ปลาก็ยกให้ตาไป ไม่มีคนดูแล

นั่นคือวิวัฒนาการของผมที่เริ่มเลี้ยงปลา แล้วก็มาหยุดอยู่ตรงที่ปลาทองออกลูก แล้วก็หยุด  แล้วก็มาเลี้ยงอีกทีตอนที่สร้างหอใหม่ ๆ ผมเลี้ยงไว้ในอ่างปูนหลังหอ (อ่างนี้ก็ยกมาจากบ้านแม่แหล่ะ) แต่ก็มีคนมาช้อนปลาผมไปอ่ะ ผมก็เลยเลิกเลี้ยง

จนมาเมื่อปีที่แล้วจากการนั่งดูใน office ก็เห็นมุมห้องหนึ่งมันรก ๆ ติดหน้าต่าง มีก็อกด้วย แต่ใช้จุกปิดมันไว้ เพราะในแปลนสร้างหอ office ด้านหน้าก็คือห้องพักห้องหนึ่งแหล่ะ แต่ว่าว่า office มันก็เป็นสองห้องด้านหน้าเลยกั้นห้องน้ำห้องเดียว อีกห้องก็ปล่อยว่าง ๆ เป็นที่วางของ สมบัติ ของผมสารพัด เนื่องจากตามแปลนแล้วห้องนั้นจะเป็นห้องน้ำ เลยมีก็อก ติดหน้าต่างอีก ผมก็คิดว่าถ้าเราเลี้ยงปลา การถ่ายน้ำก็ง่ายนะ คือเราก็ลักน้ำใช้สายยางมาลักน้ำออกไป พื้นด้านข้างก็อยู่ต่ำกว่าพื้น office ค่อนข้างเยอะ น้ำที่ได้จากการเลี้ยงปลาที่จะทิ้งก็สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ล้างถังขยะ ปกติเราใช้น้ำดีจากก็อกล้าง ก็เปลี่ยนมาล้างตรงนี้เลย แล้วก็น้ำที่ได้จากการล้างเศษเน่า ๆ ที่ติดอยู่ตามถังขยะก็จะได้ไหลลงดิน น้ำก็จะไปที่ต้นไม้อีกทีหนึ่ง  ดังนั้นผมก็เลยกลับมาเลี้ยงปลาทองอีกครั้ง ก็ซื้อตู้ปลามา เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 หมดตังค์ไปราว ๆ 7000 กว่าบาท เรียกว่าเลี้ยงปลาตั้งแต่วันแรกเลยที่ได้ตู้มา ไปร้านปลาเลยได้ปลาทองลองยามาสามตัว แต่พวกนี้ก็รอดนะ (ปัจจุบันนี้ วันที่เขียน blog นี้เหลืออยู่ตัวหนึ่งจากในบรรดาสามตัว)

สมาชิกสามตัวเริ่มต้น
ตอนนี้สมาชิกสามตัวผมนี่ตายไปสองแล้วคือตัวขาวกับตัวแดง ตัวที่สีดำ ๆ กระด่าง ๆ นี่ ยังอยู่ แต่ตอนมันโตบริเวณครีบที่เป็นสีดำกลายเป็นสีขาวนะ  ตัวแดงตายเมื่อไม่นานมานี้ เห็นหางมันฉีก ๆ แล้วหางมันไม่ยอมหายเอง จนหางฉีกเป็นริ้ว ๆ ครีบด้วย ผมเชื่อว่ามันอาจจะถึงอายุของมันมั้ง ปัจจุบันตัวแดงแต้มดำในรูปก็เริ่มมีอาการแบบเดียวกัน  แต่ปลาอื่นร่วมตู้ไม่มีอาการดังกล่าวเลย

วันที่ 5 ธันวาในปีเดียวกันนั่นแหล่ะ ไปเที่ยวฟาร์มลุงประวิทย์มา  ไปกับสาวในหอนี่แหล่ะที่เขาก็เลี้ยงปลาทองเลยชวนไปเป็นเพื่อน


คุณลุงประวิทย์ผู้มีชื่อเสียง :) เขาถูกใจสาวที่ผมเอาไปเป็นเพื่อน สาว(น้องทราย) ก็แสบจริง สุดท้ายลุงให้ปลาทองห้าสี เป็นบรรดาลูกปลา ตัวไม่ใหญ่มากประมาณตัวละ 10 บาทแถวบ้านผม มาสิบกว่าตัว  ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่เจ้าน้องทรายตัวแสบไม่มีที่เลี้ยงผมก็เลยต้องรับอุปการะไว้ หลายตัวเหมือนกัน น้องทรายก็เอาไปบ้างส่วนหนึ่ง เพราะเขาเลี้ยงตู้เล็ก ส่วนปลาก็เพี้ยบ

แรก ๆ ผมก็คิดว่าปลาทองห้าสีนะ ไม่สวยเลย ปลาอะไรกระดำกระด่างเต็มไปหมด แต่พอมันโตขึ้นมันก็สวยนะ ปลาที่ได้จากฟาร์มของลุงประวิทย์นี่ ผมยอมรับเลยว่าเป็นปลาที่โตไวมาก เลี้ยงง่าย อึด อดทน ไม่ตายง่าย  ผมติดใจมากแต่ครั้นจะไปซื้อก็ไกล แถมเนื้อที่ในตู้ก็ไม่ไหวแล้วแน่นมาก ๆ


อันนี้แหล่ะ ตู้ 60 นิ้วของผม :)    อันนี้เป็น VDO ที่อัพให้เพื่อนดู เพราะตอนผมจะเลี้ยงปลาทองมันมาดู มันชวนผมเลี้ยงปลาหมอหอย (ผมไม่รู้จัก แล้วผมก็ตั้งใจจะเลี้ยงปลาทองที่ผมคิดว่าผมชอบ มาตั้งแต่ตอนก่อนจะซื้อตู้แล้ว) ผมก็บอกเพื่อนผมว่าผมเคยเลี้ยงถึงออกลูกเลยนา ... มันไม่เชื่อ ... เลยอัพโหลดไฟล์วีดีโอปลาทองออกไข่ให้เพื่อนผมดู
(ปล. เสียดายตัวสีขาวมากเลย สวย ไม่น่าเชื่อว่าซื้อมาตอนเล็ก ๆ จะมาสวยตอนหลังจากนั้น) สาเหตุที่ตัวสีขาวตาย (ยังเสียดายมาถึงทุกวันนี้) ก็เพราะตอนนั้นเป็นหน้าฝน แล้วอากาศมันเย็น เนื่องจากตู้ปลาผมติดหน้าต่าง สังเกตบริเวณที่มีเหล็กดัด เป็นบานเกร็ด พอกลางคืนลมมันพัดเข้ามา ประกอบกับผมหักเหน้ำให้หันไปทางนั้นพอดี ผมเชื่อว่าลมเย็นมันเข้ามาสัมผัสกระจกด้านนั้น แล้วน้ำที่หักมาจากกรองมาพ้นใส่ ทำให้อุณหภูมิในตู้หล่นลงไวเกินไป ปลาป่วย แล้วก็ตาย
หลังจากนั้นผมแก้ปัญหานั้นได้ปลาผมก็ไม่ตายอีกเลย ช่วงนั้นปลาตายเกือบสิบตัวได้  ผมก็เห็นอยู่ว่าก่อนเข้านอนมันยังดี ๆ อยู่นี่หว่า ทำไมตื่นมาอีกวันปลาป่วย ซึม

อันนี้เป็นความคิดของผมนะ ผมว่าปลาทองมันจะออกไข่ถ้าในตู้มีไอ้หญ้าหนวดปลาดุก (มั้ง) ในภาพ เพราะอันนี้ผมเลี้ยงมาไม่นาน ปลาทองบางตัวผมออกไข่เลย แต่ว่าในเน็ตบอกว่าไข่ที่ออกมาถ้าปลายังอายุไม่ถึงมันจะไม่มีคุณภาพ ซึ่งก็จริง ๆ ผมลองฟักแล้วก็ไม่เป็นผล !!!  เดี๋ยวต้องลองสมมติฐานนี้ด้วยการหาซื้อหญ้าหนวดปลาดุกมาอีกสักที  เพราะหลังจากหญ้าโดนตะไคร่น้ำเกาะมันก็ตาย



"เจ้าบึ้ก" ปลาทองห้าสีตัวโตอยู่ทางด้านขวา "เจ้าโทร่า" ปลาทองหัวแดงทางด้านขวาข้าง ๆ เจ้าบึ้ก
 ตอนนี้ปลาทองตัวโปรดผมก็มีอยู่สองตัวคือเจ้าบึ้ก กับเจ้าโทร่า เจ้าบึ้กนี่ชอบเพราะตัวใหญ่ วันไหนผมนึกสนุก ๆ ก็เอามือไปจับมันนี่แหล่ะ เนื้อแน่นดี  ส่วนเจ้าโทร่าเป็นปลาทองตัวที่ผมภูมิใจมากที่สุด เพราะเลือกปลามาก็หลายตัว ถูกใจเหมือนถูกหวยก็ตอนเลือกซื้อเจ้านี่แหล่ะ ปลาทองที่หน้าตาน่ารัก หน้าเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่น่ารัก แถมครีบครบอีก (ปกติจั่วปลามานะ ถ้าสวยครีบตูดจะเหลืออันเดียว) ร้านเจ้าโทร่าขายปลาแบกะดินเราจะเห็นเฉพาะด้านบนของมัน  แถมร้านนี้ขายปลาแคระ คือปลาเลี้ยงเท่าไหนตัวก็เท่าเดิม แต่ไม่เป็นไรยกเว้นเจ้าโทร่าตัวเท่านี้แหล่ะดีแล้ว กำลังน่ารักเลย :)


เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา (27 ธันวาคม 2555) ผมตื่นเช้าเพราะว่าจะมาดูระบบที่เขียนโค้ดเพื่อ monitor ไว้ คือโค้ดตัวนี้จะคอยเก็บการทำงานของ user แล้วถ้ามีบั๊ก (ข้อผิดพลาดของโปรแกรม) มันก็จะส่งมารายงานผมโดยที่เนียน ๆ user ไม่รู้   (user จะมองว่าเราทำงานไม่ครบ ในกรณีที่เกิดบั๊ก) ผมก็ตื่นแต่เช้าแหล่ะ เพราะว่าช่วงนี้งานกำลังส่งกำลังเทสต์ อยากจะรู้ว่ามีอะไรผิดพลาดบ้างไหม ก็เปิดเครื่องดู ก็ยังไม่เห็นมี Error Report เข้ามา ก็เลยคิดว่าสงสัยไม่ error มั้ง เหลือบไปเห็นปลาทอง ตัวเมียของผมตัวหนึ่ง (ก็เป็นปลาห้าสีที่ได้จากลุงประวิทย์นั่นแหล่ะ) โดนปลาตัวผู้กำลังไล่ตูดอยู่ ก็เลยเอาวะ งานก็รอคนอื่นเขาเช็ค ก็เพาะปลาอีกสักทีหลังจากที่ลองไปเมื่อต้นปี แล้วก็เว้นเลยไม่ได้ลองเพาะอีกเลย




อุปกรณ์เตรียมเพาะปลาทองของผมเอง
  การเตรียมเพาะปลาทอง (ของผมเองอาจจะไม่วิชาการนะ แต่บอกเล่าไว้)
1. กะละมัง อันนี้ผมมีอยู่แล้วครับ พอปลาป่วยเราจะแยกมันมารักษาในกะละมังนี้ ล่าสุดตัวที่ตายไปก็ห้าสีของลุงประวิทย์อีกนั่นแหล่ะ ตัวนี้ค่ายา 300 บาท ยังตายเลย (เศร้า)  คาดว่าอวัยวะภายในของเขาคงมีปัญหาเพราะมันพอง เกล็ดตั้ง หางตกเลือด เป็นอยู่ตัวเดียวทั้งตู้  เคยเป็นอยู่ครั้งหนึ่งแล้วจับอดอาหาร 5 วันก็ปรกติเหมือนเดิม ตอนนั้นคาดว่าให้อาหารปลาดุกกิน เลยไม่ให้อาหารปลาดุกอีกเลย  แต่ครั้งหลังนี่คือ อดอาหาร ท้องก็ไม่ยุบ บวมน้ำกดไปนิ่ม ๆ อ่านไปอ่านมาเจอยาชื่อ medic อะไรสักอย่างนี่แหล่ะสั่งซื้อมาเลย สุดท้ายก็ไม่รอดตาย ตัวนี้ผมก็ชอบนะตัวใหญ่ดี เขาชอบจะโชว์ครีบตั้งเวลาเห็นผมเดินมาให้อาหาร  หลังจากปลาตัวนั้นตายก็ล้างแล้วก็ผึ่งไว้แล้วก็เอาออกมาใช้
2. เทน้ำใส่กะละมัง เนื่องจากมันเช้าน้ำที่หอเย็นมาก เลยเอาฮีตเตอร์มาใช้ (พวกเลี้ยงปลานี่อุปกรณ์ครบ) ให้น้ำมันอุ่น ๆ สักน้อย
3. วิ่งไปหยิบสาหร่าย (เด็กที่หอบอกสาหร่าหางกระรอก) ความจริงคือสาหร่ายหางม้า หรือพุงชะโด อันนี้ก็ซื้อมาจากร้านปลานานมาแล้ว แต่เลิกใช้เพราะปลาทองผมใส่ไปมันก็รื้อพังหมด ไอ้เราก็อยากให้ตู้สวย ๆ เศษเสี้ยวที่เหลือจากนั้นก็เอาไปโยนไว้ในอ่างบัว อันนี้ก็เกี่ยว ๆ มาได้แค่นี้แหล่ะ (คิดว่าเศษที่เหลือจะเอาไปเพาะใหม่ ทีนี้จะใส่ปุ๋ยเลยเพื่อให้มันงาม ๆ บัวเราก็งามด้วย)  ระหว่างนี้เราก็เอาสาหร่ายไปแช่ด่างทับทิม
4. ที่วางไข่ อันนี้ศึกษามาจากในเน็ต เขาบอกว่าเขาทำอันนี้แหล่ะในการผสมพันธุ์ปลาทอง เนื่องจากมันเป็นเวลาหกโมงเช้า แล้วจะหาเชือกฟางที่ไหนดี เหลือบไปเห็นถุงบิ๊กซีสีเขียวอ่อน กับถุงก้อบแก้บสีเหลือง ก็เลยเอามาพับตามแนวยาวหลาย ๆ ทบ แล้วเอาคัทเตอร์กรีด แต่เว้นระยะด้านตูดถุงหน่อยนะ เพราะเราอยากให้ออกมาเป็นพู่  ตัดด้านที่เป็นหูหิ้วออก ไม่อยากให้มันเกะกะ พอเสร็จก็เอายางรัดด้านบนก็เป็นพู่สีเขียวสีเหลืองแล้ว เอาไปแช่น้ำ
5. สาหร่ายที่แช่ด่างทับทิมไว้ก่อนหน้านี้ กว่าจะทำพู่เสร็จก็หมดไปสิบกว่านาทีแล้ว ก็เอาสาหร่ายมาล้าง (คงแช่นานได้ที่แล้วหล่ะ) ล้างน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง กลัวตกค้างมาก
6. ใส่สาหร่าย ใส่อ็อก ใส่กรองกระปุกลงไป

7. แต่นแต้นเสร็จแล้ว ก็ออกมาเป็นหน้าตาดังภาพนั่นแหล่ะ อยู่ใต้ตู้เลี้ยงปลาเลย จับปลาตัวผู้กับปลาตัวเมีย ตัวผู้ตัวไหนไล่ผมจับมาหมด ก็เป็น 3 ต่อ 1 แล้วก็เอาตะแกรงดำ ๆ พาด แล้วหาอะไรมาปิดไว้เปิดให้มีแสงลอดนิด ๆ (ผมใช้โฟมปิด)

แล้วผมก็ไปนอนต่อ ... ตื่นมาอีกทีก็ 11 โมงเช้า เปิดมาดู โอ้มีไข่เกาะตามสาหร่าย ตัวผู้ผมก็นอนนิ่ง ส่วนตัวเมียผมไปนอนหมดแรงในกองพู่นั่นแหล่ะ ก็เลยจับคู่กรณีทั้งหมดกลับเข้าตู้ไปเหมือนเดิม


ไข่ปลาทองที่มาเกาะอยู่สาหร่าย (บริเวณกลางภาพ) เม็ดกลม ๆ สีขาว  - อันนี้คือไข่ที่ไม่ได้รับการผสม ไข่เสีย
ในภาพที่ผมถ่ายมาได้คือไข่ปลาทองครับ แต่อันนี้เป็นไข่เสียนะครับ คืออาจจะไม่ได้รับการผสม หรือมันอาจจะไม่สามารถผสมได้หรืออะไรได้ก็ตามแต่  จากการที่ผสมไม่ติดมาหลายครั้งมาก ถ้าได้ไข่ แบบนี้หล่ะก็ไข่เสียครับ ไม่เป็นตัวชัวร์  คือถ้ามีอะไรสีขาว จุดสีขาวในไข่ รับรองว่าฟาล์วครับ  ผมได้ไข่แบบนี้ตลอดเลยหล่ะครับ ตั้งแต่คราวโน้น

ไข่ที่ได้รับการผสมจะใส คือไม่โปร่งใสนะครับ ประมาณว่าใสเหมือนไข่ขาวไข่ไก่ เหลืองนิด ๆ เท่านั้น เสียดายผมเก็บภาพมาไม่ได้ กล้องมันไม่สามารถจับภาพได้นะครับ (กล้องผมเองก็เก่า ๆ Cannon Power Shot S3 - ผมไม่ใช่พวกบ้ากล้องหรอกครับ อันนี้ของน้องสาวเสียด้วยซ้ำ แต่น้องทิ้งแล้วไปซื้ออันใหม่ เพราะถ่ายอีกล้องนี้ทีไร noise กระจายทุกที)  เนื่องจากพอมันใส กล้องมันหลุด focus ตลอดเลยอ่ะครับ ผมก็เลยไม่รู้จะถ่ายไง ไอ้ผมเองก็ไม่เก่งด้วยคือรู้แค่กด shutter อย่างเดียวปรับเปริบอะไรไม่เป็น ถ้ามีโอกาสจะหาภาพที่เป็นตัวอยู่ในไข่มาอัพเดทให้ดูหล่ะกันครับ

พอเที่ยงคืนวันศุกร์ผมไปส่อง ๆ ดูไข่ใส่ก็จะเห็นเป็นตัว เป็นคล้าย ๆ เส้นแล้วมีจุดซึ่งเป็นตา ขนาดของจุดเล็กมาก จะพูดว่าไงดีหล่ะเหมือนเศษฝุ่น หรือเหมือนเราเอาเข็มเย็บผ้าไปจุดไว้บนกระดาษ แบบแตะ ๆ เบา ๆ แค่นั้นเอง แต่เราจะมองเห็นได้ ทั้งยังขยับได้อีกนะ ก็ประมาณยังไม่ถึง 36 ชั่วโมงดี ก็จะเห็นแล้วหล่ะครับว่าเป็นตัวหรือไม่เป็นตัว

วินาทีที่เราจ้องดูแล้วเห็นมันขยับเหมือนมันดิ้นในไข่ ผมรู้สึกว่าโอ้ไม่น่าเชื่อ.... มหัศจรรย์จริง ๆ เลย มันมีชีวิตได้ไง มันมีกระดูกสันหลัง ลูกกะตา แล้วขดอยู่ในไข่ซึ่งขนาดมันก็ตามภาพ แล้วมันก็มีชีวิตขยับ ๆ เป็นบางที ต้องจ้องมองมันนาน ๆ ตอนแรกผมเองก็โดนไข่หลายใบหลอกอยู่  พอมองเห็นใบนี้แล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก นี่มันมีชีวิตนี่
หลังจากพยายามปรับกล้องมั่ว ๆ ก็ได้ภาพนี้ออกมาครับ

ลูกปลาทองที่ฟักออกมาจากไข่ มันเหมือนจะหลุดออกมาจากไข่นะครับ เราจะยังเห็นเปลือกไข่ใส่ ๆ ติดอยู่ที่สาหร่าย ตัวมันเองออกมาก็จะมีปุ่ม ๆ ที่ท้อง ในเน็ตบอกว่ามันคือถุงไข่แดงครับ  มันจะว่ายน้ำไม่เป็นนะครับ  เหมือนมันจะนอนนิ่ง ๆ อาจจะมีขยับบ้างแต่ดูก็รู้ว่าว่ายน้ำไม่เป็นชัวร์ คือมันไปไม่เป็นทิศเป็นทางครับ  อันนี้คือประมาณวันเสาร์ครับ ก็คือประมาณ 48 ชั่วโมง


วันอาทิตย์ครับ  ลูกปลาหลาย ๆ ตัวเริ่มจะว่ายน้ำเป็นกันแล้ว

วันอาทิตย์ครับ ลูกปลาหลาย ๆ ตัวก็จะเริ่มว่ายน้ำกันเป็น ก็จะเริ่มลอย เริ่มว่ายไปข้างหน้าเป็น อาจจะมีความไม่คล่องอยู่มากครับ แต่นี่แหล่ะครับคือ ลูกปลาทอง  ไม่ได้เอาลูกปลาหางนกยูงมาปล่อยนะครับ หน้าตาน่ารักไหมครับ

เอาไว้ถ้าผมผสมเล่นอีกจะพยายามหาทางเอาภาพไข่ที่มีตัวอยู่ข้างในมาฝากหล่ะกันครับ  ผมได้ลูกปลาออกมานับคร่าว ๆ ประมาณ 20 ตัว แต่อาจจะมากกว่านี้เพราะอยู่ในพู่อีก  ลูกปลาใช้เวลาฟักตัวไม่เท่ากันนะครับ คือมันจะทยอย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นมา  อันนี้คือตั้งแต่ 6 โมงเช้าวันพฤหัส จนถึงบ่าย ๆ วันอาทิตย์ครับ ผมก็จะได้ลูกปลาทองที่ว่ายน้ำพอจะได้ลอย อยู่บริเวณผิวน้ำหล่ะครับ


ต้องขอบคุณแหล่งความรู้ในอินเตอร์เน็ตครับ ทำให้ผมผสมปลาทองออกมาได้ ผมเหมือนย้อนกลับไป 18 อีกครั้ง (ม. 6) ครับ ผมคิดว่าเลี้ยงปลาเล็กไม่น่ายากนะครับ ก็จะลองเลี้ยงดูแล้วจะเอากลับมาเล่าให้ฟังครับ

สุดท้ายผมก็คิดถึงตาหวล แม้ว่าตาจะจากไปหลายปีแล้ว แต่ผมก็ยังคิดถึงตาทุกครั้ง ความฝันที่จะมีฟาร์มปลาทองก็มีอิทธิพลมาจากตานี่แหล่ะครับ

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จะปีใหม่อยู่แล้วหลาย ๆ คนก็ห่วงเรื่องอายุ วันนี้ขอบ่นเรื่องใกล้ ๆ อายุหน่อย

ปี ๆ ผ่านไปแป้บเดียวเอง ... ไวเหมือนตื่นจากฝัน


พักนี้เด็กที่หอพักผมคนหนึ่งเรียกผมว่า "น้า" โอ้ แม่เจ้า เหมือนสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางใจ เจ้ยยยย เป็นพี่มาหลายปี ปีนี้มีคนเรียกน้า   ผมอายุ 31 ขวบ ปกติแล้วผมจะโดนเฉพาะกับเด็กเล็ก ๆ ที่เรียกผมว่าน้า (ซึ่งผมก็มีหลานนะ ลูกของพี่ชาย ลูกของพี่สาว ตัวเล็ก ๆ) นี่โดนเด็กอายุ 18 - 19 เรียกน้า  ..... เห่อ ... ตายละวา

อย่ากระนั้นเลยมานั่งคิดถึงโอกาสความเป็นไปได้กันดีกว่า  ถ้าน้องอายุ 19 เรียกผมว่าน้า ... อืม น้าก็คงรุ่นแม่ .... 31 - 19 = 12 ปี นั่นแปลว่าแม่เขามีเขาตั้งแต่อายุ 12 (ขออีโมหน้าตกใจ)   แต่น้า ก็คือน้องของแม่ นั่นหมายความว่า ถ้าแม่เขามีลูกตั้งแต่อายุ 18 ก็ยังได้อยู่นะ แต่จริง ๆ แล้วบางคนมีลูกตั้งแต่ 18 นี่ก็เยอะนะ  อย่างลูกพี่ลูกน้องผมนะเรียนมัธยมยังไม่จบเลยก็มีลูกเสียแล้ว

วันนี้หลานผมชื่อว่าโบกี้ เป็นลูกของพี่ชาย มาบอกผมว่าให้พิมพ์คำว่า succeed ให้หน่อย  ผมก็งงเลยถามกลับไปว่า "อ้าว แล้วทำไมไม่พิมพ์เองหล่ะ"  ด้วยความที่สงสัยเด็ก ป.1 ทำไมถามถึงศัพท์คำนี้ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสงสัยจะเป็นการบ้าน ... งั้นให้หลานทำเองดีกว่า ก็เลยบอกหลานไปอีกว่า "ทำไมไม่พิมพ์เองหล่ะ พิมพ์เองสิ"  โบกี้มันก็ตอบว่า "พิมพ์ไม่เป็น"  ผมก็ถามไปอีก "อ้าวแล้วทำไมที่โรงเรียนไม่ได้สอนเหรอ" แล้วแม่ไม่อยู่เหรอ ให้แม่พิมพ์ให้สิ

เจ้าโบกี้มันก็ทำท่าเว้าวอนอยากให้ผมไปช่วยมันพิมพ์หน่อย เดินจูงมือ ผมก็เลยเดินตามไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่บ้านพี่ชาย ซึ่งหน้านี้มันก็เปิด YouTube อยู่ พอไปถึงมันก็นั่งเลย มันก็บอกผมว่า "เนี่ยน้าชัย หนังหน่ะ ซัคซี้ด" ตอนนี้ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วคงไม่ใช่การบ้านแหง๋ ๆ

ถามไปถามว่าได้ความว่ามันจะดูหนังไทยเรื่อง "ซัคซี้ด ห่วยขั้นเทพ"  โอ้แม่เจ้า เด็ก ป. 1 จะดู suck seed


บอกตามตรง เกิดคำถามตามมามากมาย ว่าทำไมเด็ก ป.1 ถึงรู้จักหนัง ... นี่มันหนังสำหรับเด็กวัยรุ่นนะเฟ้ย เพราะผมคิดว่าเด็ก ป.1 มันจะเข้าใจเหรอว่าหนังพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง

ทำให้เราก็อดนึกย้อนไปไม่ได้ว่าสมัยเราอยู่ ป.1 เรารู้จักหนังไหม คำตอบคือไม่รู้จักนะ ไม่รู้จักเลยดีกว่า เพราะสมัยก่อนเราก็ดูทีวี ส่วนมากจะแย่งพี่สาวดูการ์ตูนมากกว่า ไม่ดูละครจักร ๆ วงศ์ ช่อง  7 หรอก แต่พี่สาวชอบดู ของผมนี่ก็ต้อง โดเรมอน เซนต์เซย่า ดราก้อนบอล อาราเล่ น้าต๋อยช่องเก้า ซุปเปอร์จิ๋ว โน่น

ทำไมเด็ก ป.1 ถึงอยากดูหนังเรื่องนี้จริงหว่า (สงสัยต้องโหลด torrent มาดูซะแล้ว) ผมหน่ะแค่รู้จักชื่อหนังนะเพราะว่าเมื่อสองปีที่แล้วน้องชายแอนมันมาอยู่หอ ช่วงปิด summer หนังเรื่องนี้ก็เข้าโรงพอดี น้องชายแอน (ชื่ออาร์ม) ก็เห็นพูดถึงอยู่ เพราะจ้าวนี้เขาบ้ากลอง มีความฝันอยากเล่นดนตรีให้สาว ๆ กรี๊ด (โอ๊ะ 17 มีนา วันเกิดผมเลยนี่หว่า ... แอบไปเห็นในรูป)

ก็เลยนึกย้อนไปถึงสมัยเด็ก ๆ ก็จำความได้นะสมัย ป.1 โรงเรียนเป็นอาคารไม้พอผมขึ้น ป.2 เขาก็ทุบทิ้ง สมัยนั้นการละเล่นของเด็ก ๆ ผู้ชาย ก็จะมีพวก
ภาพเขี่ยเป็นสติกเกอร์เกี่ยวกับการ์ตูนนี่แหล่ะ อยู่ในกล่องขนมข้าวโพดเคลือบช็อคโกแล็ต (ความอร่อยก็งั้น ๆ) แต่ที่อยากได้คือภาพสติกเกอร์ด้านใน มีสมุดสะสมด้วยนะ สะสมครบสามารถแลกของรางวัลยั่วใจได้ด้วย (ไม่อยากจะบอกว่าสะสมไม่เคยครบ ขาดภาพสองภาพตลอด เพราะมันจะเห่อช่วงแรก พอช่วงจะหมดเขตไอ้ภาพที่เราหาย ๆ อยู่มันก็เริ่มโผล่มา แต่สุดท้ายก็ไม่ครบอยู่ดี)  มีเพื่อนแสบ ๆ ไปหาหนังสือโป้มาเปิดดู แต่ก็ไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไร มีเพื่อนคนหนึ่งชอบเปิดกระโปรงผู้หญิง 

มีหนังสือการ์ตูน เล่มที่ผมอ่านติดมากก็คือหมัดเทพเจ้าดาวเหนือ เล่มนั้นก็ไม่รู้ว่ามันมาได้ไงเหมือนกันจำไม่ได้ จำไม่ได้ว่าใครนำอ่าน แต่คงจะเป็นเพราะเมื่อก่อนพ่อทำร้านตัดผมก็จะมีหนังสือพิมพ์ หนังสืออะไรบ้างก็ไม่รู้ ขายหัวเราะก็มีนะ  อันนี้เป็นข้อสังเกตุของผมนะ ถ้าเราอยากให้ลูกอ่านหนังสือเราก็ต้องอ่านหนังสือให้ลูกดูก่อน เหมือนพ่อผมที่จะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ตอนไม่มีลูกค้ามาตัดผม -  จนมาถึงทุกวันนี้ก็ยังอ่าหนังสือการ์ตูนอยู่ (สมัยนั้นการ์ตูนมันจะไม่มีลิขสิทธิ์) 

ปาดินน้ำมัน อันนีก็ไปซื้อมาดินน้ำมันแผ่นสี่เหลี่ยมก้อนละ 1 บาท ซึ้อห้าก้อนเราก็ได้ดินน้ำมันก้อนย่อม ๆ แล้ว (เป็นที่นับหน้าถือตาแล้ว)  เอามาผสมกันแรก ๆ ก็สีสวยหรอก การเล่นก็จะต้องเล่นกับเพื่อน ถ้าเราปาโดนลูกของเพื่อนที่อยู่บนพื้น แล้วมันติดลูกของเราจนยกขึ้นมาได้ไม่หล่น ดินน้ำมันของเพื่อนก็จะเป็นของเรา ก็ผลัดกัน เวลาเพื่อนปาเราก็ต้องมานั่งลุ่นว่าอย่าให้เพื่อนปาโดน ไม่งั้นเราก็เสียดิน แรกๆ นี่สีอย่างสวย เล่นไปเล่นมากลายเป็นสีดำ แล้วก็ชอบเอาไปตากแดดมันจะเหลว ๆ นิ่ม ๆ ดี

เล่นยานบินฐานทัพ (ที่มีกระดาษเพื่อนอยู่ตรงข้ามกับเรา วาดรูปฐานทัพ จากนั้นก็เอาปากกากดปลาย แล้วค่อย ๆ ขยับนิ้ว พอเอนได้ระยะปากกาก็จะลากออกไป สิ้นจุดไหนก็ไปวาดยาน ถ้าเส้นไปขีดโดนยานเพื่อนเราก็จะบึ้มยานเพื่อน ถ้าไปโดนฐานทัพเพื่อนก็บึ้มฐานทัพเพื่อน เล่นจนกระดาษเต็มไปด้วยน้ำหมึกแหล่ะ) 

เล่นว่าว พอปิดเทอมทีไรไม่ได้ไปโรงเรียน ... กลางวันบ่าย ๆ ก็เอาแล้วออกไปที่ทุ่งที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านแม่สมัยก่อนมันไม่มีใครมาสร้างบ้านไว้ เป็นทุ่งกว้าง ๆ ฝุ่นตลบ ก็จะวิ่งว่าวกัน ก็จะมีทั้งว่าวที่ทำเอง กับว่าวที่ซื้อมา สมัยนั้นว่าวที่ซื้อมาต้องร้านลุงเหลิมอยู่ตีนสะพานจอมเกล้า  ขึ้นดีจริง ๆ ใส่หางยาว ๆ พอขึ้นไปมันก็นิ่ง พอตะวันเริ่มจะคล้อยเย็นก็เอาว่าวลงแล้วก็กลับบ้าน

เป่ากบ เป่ากบนี่มันมีสองอย่างคือเป็นยางวง ๆ อันนี้พวกผู้หญิงชอบเล่นเหมือนกันเพราะเวลามันกินเรามันก็จะเอาไปร้อยยางไว้กระโดด มันมีอีกแบบหนึ่งก็คือใต้ฝาน้ำอัดลม พวกฝาจีบอ่ะนะ ด้านล่างมันจะเป็นยางสีขาว ๆ ไว้คอยกันไม่ให้น้ำรั่วออกมา พอลอกมันออกมาจากฝาอีกด้านหนึ่งของมันจะมีภาพสวย ๆ สมัยก่อน เป็นการ์ตูน สีสวยสดเลยหล่ะ  เสียดายไม่ได้เก็บไว้ มันจัดว่าเป็นศิลปะเลย เพราะชอบมากสวยดี 

เล่นน้ำที่ท่าน้ำวัดอัมพวัน เดี๋ยวนี้น้ำเปลี่ยนสีไปแล้ว ไม่เห็นมีใครกล้าอาบอีกแล้วหล่ะมั้ง สมัยเด็ก ๆ นะโหไปกันเยอะมาก เด็ก ๆ ในละแวกนั้นพอหน้าร้อน ปิดเทอมอะไรแบบเนี้ยะ เพราะเมื่อก่อนหน้าฝนน้ำก็เยอะสีน้ำตาลแบบนี้ไม่น่าเล่น หน้าหนาว เลิกพูด สมัยก่อนยังมีหน้าหนาว หนาวทีสี่เดือนงี้ น้ำท่าแทบไม่อยากจะอาบกันเลยทีเดียว แต่ก็แม่ให้อาบทุกทีหล่ะ อย่างดีก็คือต้มน้ำอุ่นมาอาบ

ของเล่นต่าง ๆ เช่นพวกรถบังคับ สมัยก่อนเป็นแบบมีสายนะ มีอยู่คันหนึ่งรักมากมีไฟติดด้วย สมัยนี้ไม่มีแล้วแบบมีสาย สมัยก่อนซ่อมไม่เป็นหรอก แต่ถ้ามาสมัยนี้ก็คงซ่อมเล่นได้สบายใจเลยหล่ะ  เกมส์กด อันนี้ก็เป็นของเล่นแรก ๆ เลย ผมเชื่อว่าที่ทำให้ผมอยู่ในแวดวงของคอมพิวเตอร์นี้ ก็เพราะสิ่งของชิ้นนี้แหล่ะ พวกเกมส์กดที่เป็นเกมส์รถแข่ง แต่ไม่ได้แข่งหรอกนะ ขับข้ามฝาก ข้ามฝากไปมาให้ได้ เสมือนหนึ่งว่ารถขับเร็วต้องคอยหลบท้ายรถคู่แข่งให้ได้ ใส่ถ่านกระดุมหนึ่งหรือสองก้อน ก็เล่นได้อยู่หลายวัน ตั้งปลุกได้ด้วยนะ สมัยนี้มีขายที่ไหนบ้างนะ อยากได้อ่ะ อย่างน้อยก็เอามาเป็นนาฬิกาปลุกก็มีความสุขแล้ว  แล้วก็พวกขวบนการห้าสี กดปุ่มปล่อยหมัดได้ คลาสสิคโคตร ๆ  สมัยนี้ไม่มีขายแล้ว แต่ที่มีขายอยู่ก็คือปืน M-16 อันนี้ยังฮิตมาจนถึงทุกวันนี้

วีดีโอเกมส์ ร้านป้าหน้าโรงเรียนวัดดอน เด็กแน่นทุกวันขายดีทุกวัน เป็นแหล่งรวมของล่อตาล่อใจเด็กทุกแขนงเลย ตั้งแต่ขนม ขนมแปลก ๆ ที่เราไม่สามารถหาได้ตามร้านยายเลียง (เป็นร้านแถวบ้าน) ร้านเกมส์ก็เป็นของป้าเขาแหล่ะ 5 บาท 15 นาที เครื่องซุปเปอร์แฟมิคอมมั้ง แต่มีเครื่องหลายรุ่นที่จำได้ก็ก็มี แฟมิลี่ เมก้าไดรฟ์ มั้งจำไม่ได้แล้ว สมัยก่อนอยากให้บ้านมีบ้างแต่ ... ไม่มี (ฮ่า ๆ)  เกมส์ตู้ในระยะหลัง ๆ ก็มีสตรีทไฟเตอร์ เล่นไม่เป็นกันหรอก หยอดเหรียญแล้วก็ให้เพื่อนมาช่วยมั่ว ๆ สกรัมกัน (นึก ๆ แล้วก็สงสารตู้เกมส์สมัยนั้น มิน่าหล่ะ ลุงจึงมาเอ็ดตลอด เพราะเล่นไม่เหมือนผู้เหมือนคนนั่นเอง) พอเทศกาลลอยกระทงนะ ร้านป้าก็จะมีปะทัดขายด้วย แต่ความจริงก็มีทั้งปีแหล่ะ คือมันเหลือมาจากเทศกาล  พอโรงเรียนย้ายก็สงสารแกจังเลย เดี๋ยวนี้เห็นแต่ลุงก็ยังแข็งแรงเดินเหินคล่องแคล่วดี เผลอ ๆ จะเดินคล่องกว่าผมเสียอีก

พอประถมปลาย ก็เริ่มแอบชอบผู้หญิง เหอ ๆ

สมัยเด็ก ๆ นี่สนุกมาก เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขเลยหล่ะ นี่ผมคงแก่แล้วสินะ ....

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันนี้ไปรังวัดที่ดินมา .... เหนื่อยมาก

เสียดาย ... ที่ไม่ได้เอากล้องไปด้วย

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พ่อผมให้ผมเป็นตัวแทนในการไปดูเขาวัดที่ ว่าแล้วก็เหนื่อยนะเพราะที่ดินที่ว่านี้ไกลมาก...

จากการได้คุยกับบรรดาญาติ ๆ ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในที่ดินนั้น ผมก็คิดว่า สมัยก่อนนี้แนวคิดของการซื้อที่ดินไว้ขายก็เหมือนกับการเล่นหุ้น แต่เป็นการเล่นหุ้นแบบชาวบ้าน ชาวบ้าน หน่ะนะ  วิธีการก็ คือเขาจะลงขันเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วก็เอาเงินก้อนนั้นไปซื้อที่ไว้แปลงหนึ่ง  ... คนที่เป็นแคนดิเดตก็คือคนที่มีหุ้นในที่ดินนั้นมากที่สุดนั่นเอง แต่เวลาลงชื่อในโฉนดที่ดินก็จะมีกันครบเลยครับ เรียกว่าจะซื้อจะขายทีก็คงต้องหอบกันไปที่สำนักงานที่ดินนั่นเอง  เหมือนคราวนี้ที่จะไปรังวัดที่ดินออกโฉนดเนื่องจากเรื่องมันยาวเอาเป็นว่าเจ้าของหุ้นใหญ่ตายไปแล้ว ... ลูกสาวมารับแทน ลูกสาวซึ่งได้รับมรดกอันนี้มาก็จะขาย ก็เลยต้องตัดแบ่งกันเพื่อให้ซื้อขายกันได้

อันนี้คือผมคิดเองนะครับ สมัยก่อนที่หอบมาซื้อที่ดินตรงนี้ คงเป็นเพราะว่ามันมีอยู่ช่วงหนึ่งครับที่พวกอสังหามันบูมมาก สมัยฟองสบู่มั้งครับ ที่ดินเขาซื้อมาถูกแล้วขายได้แพง ก็เลยซื้อตุน ๆ กันไว้ด้วยหวังใจว่าหุ้นของเขาจะเจริญเติบโต มีคนมาซื้อในราคาสูง ๆ แล้วก็ขายออกไปนั่นเอง  ภาพในตอนนั้นมันก็เลยฝังใจนะครับ ก็เลยทำให้ที่ดินผืนนี้ถูกซื้อแล้วก็ถูกลืมเลือน เวลาคงจะต้องมากกว่าอายุผมแน่นอนครับ ก็คงไม่น้อยกว่า 30 ปีแล้ว พ่อบอกว่าพ่อซื้อมาไร่ละ 50000 บาท (โอ้ พ่อเรารวยมากเลยนะ สมัยก่อนเงิน 50000 คงมีค่าไม่น้อย ... แถมยังลืมอีก)

ที่ดินทั้งหมดมี 13 ไร่ครับ แบ่งสันปันส่วน และก็มีชื่อพ่อผมนี่แหล่ะ มีกับเขา 1 ไร่ .... คนอื่นเขามีหุ้นกันคนละ 4 ไร่ ก็เลยเหมือนกับต้องติดร่างแหไปด้วย ความจริงไม่อยากจะบอกว่าพ่อผมเขาลืมไปเลยว่าเขาได้ลงขันหุ้นที่ดินอันนี้เหมือนกัน เพิ่งถูกทำให้จำได้ก็ตอนที่เขาต้องให้พ่อมาเซ็นต์นี่แหล่ะครับ

ทั้ง ๆ ที่วันนี้ผมก็มีงานด่วนงานที่ต้องทำเว็บไซต์ส่งลูกค้าซึ่งเร่งจะเอา ... เพราะงานมันไปดีเลย์ในส่วนเขาเสียเยอะ ก็เลยมาลงแส้เฆี่ยนตีกับโปรแกรมเมอร์นี่แหล่ะครับ ก็เลยอดหงุดหงิดใจเล็ก ๆ ไม่ได้ ผมรู้ล่วงหน้าว่าพ่อให้ไปแทนประมาณ 1 วันเศษ ๆ ครับ ไม่ถึงสองวัน  ก็เลยพยายามนั่งปั่นงานด้วยหวังในใจว่าคงได้กลับมาทำในช่วงบ่าย ๆ จะเลี่ยงก็ไม่ได้ ก็เลยต้องรับสภาพไป

หลังจากขับรถออกไปไกลมากก็ไปถึงที่ดิน (เวลาประมาณ 10 โมงเช้า) โดยมีอาที่มีหุ้นด้วยติดรถไปด้วย ผมเองก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน ที่ดินของผม (ที่มีส่วน 1 ไร่) ก็อยู่ในสภาพรก ๆ ครับ  มีต้นสับปะรดขึ้นด้วยแหล่ะ เหมือนมีคนเอามาปลูก ๆ ไว้แต่ก็ไม่ได้รับการดูแลเหมือนไร่ข้าง ๆ ที่เจ้าของที่เขาได้ลงทุนลงแรงเขาไว้ครับ มีคนมาแอบปลูกมะพร้าวด้วย ด้านหนึ่งของที่ดินติดคูน้ำครับ  ด้านหน้าที่มีถนนผ่าน ถนนไม่ใช่ถนนลาดยางนะครับ เป็นถนนดินเหมือนกับทางที่แยกออกมาจากถนนลาดยางที่เราสามารถเห็นได้บ่อย ๆ ถ้าได้ขับรถออกนอกเขตความเจริญนะครับ ด้านหลังติดกับสวนกล้วย

การรังวัดก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ การขุดหาหลักเขตก็ขุดกันเข้าไป มีการล้ำที่ล้ำทางกันบ้าง เจ้าของที่ดินข้าง ๆ ที่มีปัญหาก็มาตกลงกัน ตกลงกันได้ก็วัด ๆ กันไป  กว่าจะขุดเจอหลักอันแรก หลังจากพยายามขุดมาสามสี่หลุมก็ตกประมาณ เที่ยงครับ  พวกผมก็เดินไปเดินมาตามช่างรังวัดไป (ไม่รู้จะเดินไปทำไมเหมือนกัน แต่ไม่เดินเดี๋ยวญาติ ๆ จะว่าอีกว่า ทำไมไม่มาดูเขตแดนกับเขาบ้างเลย ... คงกลัวโดนว่าโดนบ่นก็เลยเดินครับ)

พักเที่ยงก็พักกินข้าวครับ ผมก็ได้รับมอบหมายงานให้ไปเป็นคนซื้อข้าวมา โทษฐานที่อาวุโสน้อยที่สุด เขาไม่รู้จะใช้ใครแล้วแหล่ะ ผมก็ยืมรถมอไซด์ (อายุมอไซด์ก็คาดว่าราว ๆ จะเท่า ๆ กับผมนี่แหล่ะ) คนหนักร้อยกว่าโลกับมอไซด์ 30 ขวบครับ (ไม่รู้ว่าความคิดใครเหมือนกันครับที่บอกให้เอารถมอไซด์ ของผู้ใหญ่บ้านไปซื้อ ไอ้เราก็ไม่อยากขัดใจ)  ก็ขับไปซื้อข้าว ร้านข้าวก็ห่างจากจุดที่เราทำการรังวัด ประมาณมากกว่า 5 โลนิด ๆ ได้ เสียงเครื่องยนต์ของมอไซด์ก็บ่งบอกว่าเราไม่ควรใช้งานเขาหนักนะ เดี๋ยวเขาจะงอแงเอาได้ ... ก็เลยขับเรื่อย ๆ ครับ

ร้านอาหารตามสั่งแถวนี้หายากมาเลยครับเพราะข้างทางเองก็บ้านคนมีนะครับ แต่บ้านเขารั้วไม่ติด ๆ กันเหมือนในเมืองหรอกครับ บ้านหลังหนึ่งแล้วก็เว้นไปไกลเชียว กว่าจะเห็นอีกหลังหนึ่ง ทำให้ผมอดคิดถึงว่า เอ ... ถ้าเราเกิดมาในดินแดนละแวกนี้หล่ะนะ เราจะเป็นไงนะ เราจะได้นั่งเขียนโปรแกรมอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างนี้หรือเปล่า  พูดแล้วก็อดคิดถึงว่าถ้าเราเป็นเกษตรกรจะไหวหรือเปล่านะ งานหนักมาก ขนาดเราเดินรอบ ๆ ที่เรา เรายังเจ็บขาเลยนะ เห็นแล้วรู้สึกเห็นอะไรที่มันแตกต่างกับตัวเองเหมือนเหรียญสองด้านอย่างไงอย่างนั้นเลย ทำงานก็กลางแจ้ง แดดก็ร้อนมาก เป็นผมคงออกไปทำได้แป้บ ๆ แล้วก็กลับมานั่งเหนื่อย แล้วก็คงหาอะไรกิน แล้วก็คงง่วงหลับ ตื่นมาอีกทีก็เย็นแล้ว

ในขณะที่ผมนะโคตรเกี่ยงเรื่องราคางานกับเพื่อนของผมมาก ๆ ๆ ๆ (รู้ตัวเลยพอเจอ ประสบการณ์แบบนี้) เพราะผมลงทุนทั้งเครื่อง ลงทุนสมอง แต่เพื่อนเอางานไปขายนะ ได้มากกว่าผมได้เสียอีก ผมก็เลยพยายามที่จะเกี่ยงราคาให้มันแพง ๆ ขึ้นเสมอ ๆ

ในขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศของเราก็ทำอาชีพแบบนี้กัน เราก็เหมือนจะดูถูกอาชีพเหล่านี้เล็ก ๆ เพราะเป็นอาชีพที่เหนื่อยมาก ค่าแรงก็น้อย ค่าตอบแทนก็น้อย ขาดทุนก็ได้อีก  ไม่น่าเชื่อว่าเขาก็อยู่ในประเทศเดียวกับเรา แต่ทำไมรู้สึกเหมือนเขาแตกต่างจากเราจังเลยวะ  สภาพแวดล้มคุณก็ไม่มีอะไรหรอกมีแต่ป่ารก ๆ ไร่สัปปะรด ทำงานอากาศร้อน  มีพื้นดินที่สีแบบแห้ง ๆ ร่วน ๆ รู้สึกเริ่มเข้าใจพวกม็อบเกษตรกรขึ้นมาเลยทันทีเชียว อารมณ์คงเหมือนกับผมในตอนนี้ที่เรียกร้องค่าตอบแทนที่มากขึ้น เมื่อก่อนผมก็มองว่าก็แห่ปลูกตามกัน ของก็ราคาตกไง

บางทีชีวิตของผมและคนอีกหลาย ๆ คน ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงที่แตกต่างไปจากพวกเขานะ ความจริงชีวิตหนึ่งชีวิตอาจจะไม่ซับซ้อน แต่พวกเราเกิดมาในจุดที่มีความซับซ้อน เหมือนกับอยู่ซีกโลกที่ใช้เงินในการขับเคลื่อนชีวิต ความต้องการความสะดวกสบายสูง ความอยากได้อยากมีก็เยอะเสียเหลือเกิน ความอิจฉาคนที่เขาทำงานสบายกว่าแต่ได้เงินเยอะกว่า กลายเป็นเหมือนเส้นชัยที่ใคร ๆ พวกเรา ผม ต่างก็อยากวิ่งเข้าไปเพื่อเอาอกไปแตะ

ตลอดเวลาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี แต่วันนี้ก็เหมือนจะรู้สึกโชคดีขึ้นอีกนิดหนึ่ง

หลังจากที่ซื้อข้าวกลับมาก็มารังวัดกันต่อ พอจะเริ่มเย็น ๆ ก็มีการต้องหารค่าใช้จ่ายกัน โอ้แม่เจ้า ผมพลาด ผมลืมไปว่าผมมีแค่ไร่เดียว แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่เดินเรื่อง ฯลฯ มาจนถึงวันนี้มีคนออกไปก่อนรวมเป็นเงิน 13000 กว่าบาท ด้วยความที่ลืมไปนึกว่าหุ้นเราเยอะก็เลยให้เขาไป 3250 บาท เต็มจำนวนแต่ก็พึ่งมานึกได้เออ หว่ะ (ฮ่า ๆ ซวยเลย  น่าจะทักท้วงไป)  กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็ปาไปห้าโมงเย็นครึ่ง ตอนกลับก็มืด ๆ แล้วหล่ะ ทางแถวนั้นนี่ไม่อยากจะบอกเลยว่าต่างจากชีวิตชาวเมืองมาก หาไฟส่องทางไม่ได้เลย เหมือนนั่งขับยานอวกาศ ที่เราก็มองเห็นแค่ระยะที่ไฟหน้ารถยนต์ของเราส่องไปถึงเท่านั้น

ผมกลับมาบอกพ่อว่า "พ่อขายไปเหอะที่ดินที่เป็นหุ้น 1 ไร่นั่น" ส่วนเงินนั่นก็เบิกพ่อเอา :)  รู้แค่ว่าวันนี้เหนื่อยสุด ๆ ขาผมไม่อยากจะก้าวเดินไปไหน คืนนี้คงจะหลับเป็นตายแน่นอน

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ชอบอันนี้ ขอเก็บไว้ลง blog ก่อน

เพราะว่าเดี๋ยวจะจำชื่อเพลงไม่ได้ คงไม่ค่อยมีคนพูดถึงให้ได้ยินมากหรอก เพลงมันนอกกระแสอย่างแรง


เพลงเค้าแนวดีนะ +1 Like

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Code PHP สำหรับแปลงตัวเลข(ค่าเงิน)ให้เป็นคำอ่านภาษาไทย

/**
 * เวลาเรียกใช้ให้เรียก ThaiBahtConversion(1234020.25); ประมาณนี้
 * @param numberic $amount_number
 * @return string
 */
function ThaiBahtConversion($amount_number)
{
    $amount_number = number_format($amount_number, 2, ".","");
    //echo "<br/>amount = " . $amount_number . "<br/>";
    $pt = strpos($amount_number , ".");
    $number = $fraction = "";
    if ($pt === false)
        $number = $amount_number;
    else
    {
        $number = substr($amount_number, 0, $pt);
        $fraction = substr($amount_number, $pt + 1);
    }
   
    //list($number, $fraction) = explode(".", $number);
    $ret = "";
    $baht = ReadNumber ($number);
    if ($baht != "")
        $ret .= $baht . "บาท";
   
    $satang = ReadNumber($fraction);
    if ($satang != "")
        $ret .=  $satang . "สตางค์";
    else
        $ret .= "ถ้วน";
    //return iconv("UTF-8", "TIS-620", $ret);
    return $ret;
}

function ReadNumber($number)
{
    $position_call = array("แสน", "หมื่น", "พัน", "ร้อย", "สิบ", "");
    $number_call = array("", "หนึ่ง", "สอง", "สาม", "สี่", "ห้า", "หก", "เจ็ด", "แปด", "เก้า");
    $number = $number + 0;
    $ret = "";
    if ($number == 0) return $ret;
    if ($number > 1000000)
    {
        $ret .= ReadNumber(intval($number / 1000000)) . "ล้าน";
        $number = intval(fmod($number, 1000000));
    }
   
    $divider = 100000;
    $pos = 0;
    while($number > 0)
    {
        $d = intval($number / $divider);
        $ret .= (($divider == 10) && ($d == 2)) ? "ยี่" :
            ((($divider == 10) && ($d == 1)) ? "" :
            ((($divider == 1) && ($d == 1) && ($ret != "")) ? "เอ็ด" : $number_call[$d]));
        $ret .= ($d ? $position_call[$pos] : "");
        $number = $number % $divider;
        $divider = $divider / 10;
        $pos++;
    }
    return $ret;
}

Code ภาษา PHP ใช้สำหรับแปลงค่าเงิน แปลงตัวเลข ให้กลายเป็นคำอ่านภาษาไทย รองรับตัวเลขได้ประมาณ ล้านล้าน นะน่าจะไหวอยู่ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่การเขียนโปรแกรมเป็นแบบ Integer Base ก็คือใช้การคำนวณตัวเลขเป็นจำนวนเต็ม  ถ้าจะให้รองรับเลขมาก ๆ ก็น่าจะใช้เป็นรูปแบบของ String Base คือใช้การตัดสตริงเอาไม่ต้องมา div มา mod อยู่

มี bug หรือว่าข้อผิดพลาด หรืออยากจะให้รองรับเลขมากกว่านี้ก็ลองส่งคอมเม้นท์มาด้านล่างนะครับ ถ้าเปิดมาปุ๊บมาเห็นก็จะรีบแก้ไขให้ถูกต้องนะครับ

4 มกราคม 2557 - มีคนเปิดดูพันคนแล้วดีใจจังเลย อิอิ :)
9 กรกฎาคม 2557 - มีคนเปิดดูสองพันคนแล้ว :)



ด้านล่างนี้เผื่อ Search กันจะได้ Search เจอ blog เรา อิอิ :)

โค้ด แปลงตัวเลขเป็นคำอ่านภาษาไทย แปลงตัวเลขเป็นอักษร ภาษาไทย แปลงค่าเงินเป็นตัวอักษรภาษาไทย PHP  แปลงตัวเลขเป็นข้อความ แปลงจำนวนเงินเป็นข้อความ แปลงจำนวนเงินเป็นตัวอักษร แปลงจำนวนเงินเป็นคำอ่านภาษาไทย

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปฐมบท เรื่องแรกของผมสำหรับบล็อกแรก และคงไม่มีบล็อกเพิ่มที่ไหนหรอกนะ

ขอเปิดบล็อกของผมด้วย ผู้ชายคนนี้หล่ะกัน


หลังจากที่ได้ดูนายคนนี้แสดงแล้วก็อดขำไม่ได้ นั่งขำบ้าน้ำตาเล็ดเสียงดังอยู่คนเดียวตอนดึก ๆ มาก ๆ นี่แหล่ะ แต่หลังจากดูจบผมคิดว่า บางทีคนเราก็คาดหวังไม่เหมือนกัน เรารู้สึกเลวร้ายเพราะความคิดของคนอื่นที่บงการความคิดของเราอีกที  อย่างเช่น ถ้าเราไปออดิชั่นแบบเขาบ้างเราจะรู้สึกดีใจถ้ากรรมการให้เราผ่านเข้ารอบไป  แต่ถ้ากรรมการไม่ให้เราผ่านเข้ารอบก็อาจจะทำให้เราเสียใจ

ผมแค่สงสัยว่าบางทีนายคนนี้ไม่ได้อยากจะผ่านเข้ารอบอะไรนั่นหรอก เขาแค่อยากจะมาแสดงในสิ่งที่เขาอยากแสดง เขาจะไม่เป็นทุกข์เลยถ้าไม่เอาความคิดของคนอื่นที่จะพึงมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อ .... บลา ๆ (ผ่านเข้ารอบ, ชนะเลิศ อะไรก็ว่าไป)

นายคนนี้มาแสดง ๆ ๆ ฉันแสดงจบและ กลับบ้าน ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น จบ เหมือนเขาได้ตามสิ่งที่เขาประสงค์แล้ว นี่แหละฉันอยากได้แบบนี้แหล่ะฉันมีความสุข กลับบ้าน

นี่เป็นข้อคิดอย่างหนึ่งคนเราบางทีมีความสุขเพราะได้มากกว่าคนอื่น หรือใช้ความคิดของคนอื่นมาทำให้เรามีความสุขหรือเปล่า ? หรือบางทีมันอาจจะเป็นคำพูดของคนแบบผม ที่เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไม่ได้มีอะไรดีเด่กับเขา แต่ผมก็มีสิ่งที่อยากทำนะ และยังทำอยู่ แต่มันไม่ประสบความสำเร็จแค่นั้นเอง แต่ผมก็ไม่ได้มีความทุกข์อะไรมากมายนะ ก็ทุกข์บ้างแหล่ะ แต่ก็คือความทุกข์ที่เราไม่ได้มีเหมือนคนอื่น แค่นั้น แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่

โดยปกติแล้วผมคิดว่าความสุขหลัก ๆ ของผมก็คือการได้กิน นอนหลับสนิท ที่ผมทำเป็นประจำ ความสุขเสริมก็คือการมีไอ้นั่นไอ้นี่ที่ผมอยากซื้อ มีตังค์ก็ซื้อ การได้ทำตามความฝัน การได้ทำตามความคิดของตัวเอง  มันอาจจะไม่ได้เหมือนคนอื่นเขาสักเท่าไหร่นัก แต่มันก็เป็นความสุขเล็ก ๆ ของผมแหล่ะนะ.