วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562

มุมมองของผมในวัย 38 ปี

เดือนมีนาคม เป็นเดือนเกิดของผม ผมเกิดวันที่ 17 ผมกำลังจะมีอายุ 38 ปี   ถ้าเราพูดถึงระยะเวลา 38 ปีมันก็นานมากนะในมุมมองของมนุษย์คนหนึ่ง

ผมเชื่อว่าเราทุกคนล้วนใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ในขณะที่ผมกำลังนั่งพิมพ์อยู่นี้ คนอื่นก็จะทำอย่างอื่น ผมมักจะคิดเสมอ ๆ ว่า เรารู้แต่เรื่องของเราคนเดียว  คนอื่น ๆ ก็คงเป็นแบบเดียวกัน การใช้ชีวิตมันน่าพิศวงนะผมว่า ผมจึงชอบคิดอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตเสมอ ๆ นั่งมองคนอื่นใช้ชีวิต นั่งมองตัวเองใช้ชีวิต ในบางทีผมก็คิดว่าผมใช้ชีวิตตัวเองไม่ค่อยคุ้มเลย แต่มาคิดดูอีกทีมันก็อาจจะคุ้มก็ได้ในเส้นทางของมัน ในช่วงนี้ถึงแม้ว่าผมจะเป็นมนุษย์ตกงานคนหนึ่ง แต่ผมก็รู้สึกว่าชีวิตมันมีอะไรให้ทำเยอะแยะ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า คนอื่น ๆ เขาบริหารจัดการชีวิตอย่างไรกันบ้าง

ชีวิตช่วงนี้ก็อิสระมาก ไม่มีงานทำ มีแต่เรื่องที่ทำเล่น ๆ คือเป็นเรื่องทำเล่น ๆ 100% ไม่ได้เงิน-แต่เอาเงินที่ได้จากการเก็บสะสมออกมาใช้ บนพื้นฐานความคิดที่ว่า เงินเก็บมีพอสมควร คือไม่ได้มีเยอะแต่ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรในระยะเวลาอันสั้นนี้ นี่ถ้าพรุ่งนี้ตายคงเสียดายแย่ เก็บไว้ทำไมฟะ แล้วก็จ่าย ๆ ๆ ๆ นี่ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าเป็นคนที่ไม่โสดมีภาระ คงไม่ใช้เงินได้ไร้สาระแบบนี้ อยู่บนความโชคดีอีกอย่างคือสิ่งของที่ผมอยากได้ไม่ค่อยมีชิ้นไหนราคาหนัก ๆ เท่าไหร่ เงินในกระเป๋าผมนอกจากค่าของ ก็ไปจ่ายค่าขนส่งนี่แหล่ะ

บางทีจ่ายเงินไปซื้อของจนคิดว่าคงไม่มีอะไรอยากได้แล้วมั้ง แต่เวลาผ่านไปไม่นาน สองสามวัน มีของที่อยากได้ใหม่มาอีกแล้วก็ซื้ออีก แล้วก็ใช้ตรรกะเดิมในการปลอบใจตัวเอง

เพื่อนผมบางคนก็มีลูก บางคนก็มีปัญหาครอบครัว บางคนมีปัญหาสุขภาพเป็นมะเร็ง บางคนย้ายถิ่นฐานจากคนเพชรบุรี ก็กลายเป็นคนจังหวัดอื่น แต่งงานแต่การลงหลักปักฐานในสังคมใหม่ เวลาคิดแบบนั้นชีวิตคือการใช้เวลาที่ตัวเองมีอยู่ จะใช้แบบไหน คุ้มค่าไหม อาจจะอยู่ที่มุมมอง แค่รู้สึกได้ว่ามีชีวิต และหวงแหนมัน ใช้มันหาคำตอบให้กับตัวเอง ใช้สร้างประโยชน์ให้คนอื่นบ้าง บางทีก็ใช้มันไปทำธุระให้คนอื่นบ้าง ใช้มันเพื่อคนอื่นบ้าง มันก็จะวน ๆ แบบนี้

เจอข่าวเรื่องโรคใหม่โรคซึมเศร้า ก็ยังคิดอย่างเราจะมีโอกาสเป็นไหมวะ ก็เป็นห่วงเหมือนกัน เพราะไม่รู้กลไกลของมัน แต่ในทุกวันที่ตื่น นอกจากเอ้อระเหยอยู่บนหน้าจอคอมพ์ อยู่บนฟีด facebook มันก็ผลาญเวลามาก แล้วก็หมดวันจนคิดว่าเฮ้ยยยยยย เวลาหายไปไหน ไอ้ที่วางแผนว่าจะทำก็ผลัดไป เป็นวัน สองวัน สามวัน คือนิสัยแย่มากตรงนี้ยอมรับ ถ้ามองโลกในแง่ดีนี่คือคนโสดแหล่ะ เราไม่ต้องแคร์คนรอบข้าง เพราะไม่มีให้แคร์ (ประมาณก็ไม่มีใครเอาเราเป็นแฟนเหมือนกัน) ถ้ามีลูกก็ต้องใช้ชีวิตให้เป็นแบบอย่าง และก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ก็แอบสงสัยเหมือนกันนะว่าถ้าเรามีแฟนมีลูกชีวิตคงไม่ใช่แบบนี้แน่ ๆ ขืนเป็นแบบนี้มีหวังไม่รอด และไม่อาจจะเป็นแบบอย่างให้ลูกได้

สรุปการเป็นโสดมันดีไหม ? มันก็ไม่ดี บางทีก็เหงานะ และถ้าให้เลือกผมก็ไม่อยากอยู่เป็นโสดหรอกนะ การอยู่กับตัวเองมันเหมือนกับว่ามันทำให้เราไม่โตหรือเปล่านะ คือหมายถึงความคิดความอ่านไม่โต ไม่เรียนรู้จากคนอื่น แล้วยิ่งนี่อยู่คนเดียวด้วย คือสังคมเพื่อนสังคมการทำงานนี่ผมเป็นศูนย์เลย-แบบไม่มีเลย  ตอนเย็นก็ไปกินข้าวบ้านพ่อแม่ ก็ชีวิตวน ๆ อยู่ตรงนี้มาร่วม 15 ปีแล้วนะ บางทีก็งง ๆ ว่าเราใช้ชีวิตแบบนี้มาจะครึ่งหนึ่งของชีวิตแล้วนะ ได้ไง นั่งดูแลหอ ตอนเย็นขี่มอไซด์ไปกินข้าวที่บ้านพ่อแม่ คือถ้าเป็นบันทึกทั้งชีวิตที่ผ่านมาของเราก็คงจะ มีอะไรแปลก ๆ บ้างในช่วงแรก ครึ่งหลังแม่งเหมือนเดิมทุกอย่าง (ฮา) แต่มันก็ไม่เลวร้ายนัก ถ้ามองในด้านดีของมันหน่ะนะ

เวลาเรารู้สึกแก่เช่นในวาระวันเกิด มันก็จะนึกย้อนหลังไปถึงตอนช่วงเป็นเด็ก ความทรงจำตอนเป็นเด็ก ๆ ก็ลอยมา ก็เรียกได้ว่ามีความสุขนะพ่อแม่ก็เลี้ยงมาดี เรียกว่าครอบครัวดี ในการนึกถึงวันเก่า ๆ แสดงว่าเราเกิดมาโชคดีแล้ว ถ้าเกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหา มีความลำบาก เราก็คงจะรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง

ช่วงสองปีมานี้เริ่มมาศึกษาการเลี้ยงปลาทองอย่างจริงจัง เราค้นคว้าหาความรู้ที่มีอยู่เกลื่อน internet พบว่าบางความรู้ก็อาจจะไม่ใช่ ไม่ถูก หรือถูกแค่ส่วนเดียว ตรงนี้ทำให้นึกถึงตอนที่เราค้นหาความรู้ช่วงเป็นเด็ก ๆ

สมัยเด็ก ๆ ผมก็เหมือนเด็กทั่วไปที่ต้องไปโรงเรียน แล้วก็เรียน ๆ ก็คงเป็นประสาเด็กแหล่ะนะครับ ที่ก็จะมีเล่นบ้าง ผมไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่งอะไร ยิ่งไม่เก่งถ้าเทียบกับน้องสาวของผม (น้องสาวของผมรู้จักเกรด 3 ครั้งแรกตอนสมัยเรียน มหาวิทยาลัยมหิดล คณะวิศวะ และเป็น 3 แบบ B+ ด้วย .... นอกนั้นประวัติการเรียนของมันก็มีแต่เลข 4 ตลอด)  ผมเรียนเรื่อย ๆ สอบก็สอบ ไม่มีการอ่านหนังสือทบทวน มีเรียนพิเศษบ้าง จริง ๆ ก็ไม่รู้เรียนทำไมเหมือนกันนะ เอาเป็นว่าพ่อแม่เองก็สามารถที่จะจ่ายได้ ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบการศึกษาเท่าไหร่นักหรอก สำหรับผมก็เรียนไป พ่อแม่เองก็ไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรมากนัก  ผมเรียนไม่เก่ง แต่ก็อยู่ในระดับกลาง ๆ คือ ผมอาจจะไม่ติด 1 ใน 5 ของห้อง แต่ก็จะอยู่ราว ๆ 6 - 10 กว่า ๆ ของห้อง คิดว่าคงเห็นภาพ  แม่บอกว่าผมเป็นคนหัวดีแต่ผมเฉื่อย เรื่อยเปื่อย ก็เลยผลออกมาอย่างที่เห็นที่ต่างกับน้องสาวที่เรียนแบบเคร่ง ๆ เข้มงวดกับการเรียน

ผมนั้นแทบไม่รู้เรื่องเกรดเรื่องการประมวลผลคะแนนเลย จนอยู่ ม.ปลาย ที่พึ่งจะมารู้ว่าอ่อโครงสร้างของการได้เกรดดี ๆ เป็นแบบนี้ การคิดเกรดเฉลี่ย เขาคิดกันแบบนี้ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว คนอย่างผมนี่ไม่เคยอ่านหนังสือทบทวนก่อนสอบเลย เพื่อนสมัยมหาลัยก็พูดว่าคนอื่นอ่านแทบเป็นแทบตายแต่ผมนี่ดูเอ้อระเหยลอยชายมาก

เล่าออกนอกประเด็นไปไกล ผมกำลังคิดถึงเรื่องการหาความรู้สมัยเด็ก เราจะมีการสอบ การสอบนั้นแหล่ะที่เป็นตัววัดว่าสิ่งที่เรารู้นั้นผิดหรือถูก สมัยผมเด็ก ๆ สอบก็คือสอบได้คะแนน ได้เกรด อะไรประมาณนี้ ไม่เคยคิดว่ามันถูกเอาไป process กลางภาค ปลายภาค อะไรพวกนี้ด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าสอบ คนที่เก่ง ๆ ของห้องก็จะคะแนนสูงกว่าเรา
เวลาเราหาความรู้เองเราไม่มีการสอบแล้ว เราแทบไม่รู้เลยว่าคำตอบที่เรามีในมือนั้นมันถูกหรือผิด เราต้องเสียเวลาทดลอง ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีอะไรง่ายเหมือนกับการที่มีครูมานั่งตรวจข้อสอบให้เราพร้อมทั้งบอกว่าเราได้กี่คะแนน

ถ้าผมคิดได้แบบนี้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กนะ ผมคงเรียนเก่งไปแล้ว สมัยเรียนม.ปลาย หรือมหาลัย ผมเริ่มมีความกังวลในการสอบ เพราะว่าผมจะนอนไม่ค่อยหลับ หรือมักจะฝันว่าไปสอบไม่ทันประจำ นั่นเป็นสัญญาณว่าผมมีความกระวนกระวายใจในการสอบซึ่งก็เกิดช่วงท้าย ๆ ของชีวิตการเรียนแล้ว มันสายไปนะ...

ตอนนี้ผมโหยหาการสอบมาก สอบในวิชาความรู้ที่ผมได้สนใจศึกษา แต่ก็นั่นแหล่ะไม่มีอีกแล้วครูคนที่จะตรวจว่าความรู้ที่ผมรู้นั้นผิดหรือถูกหรือต้องแก้ไขอย่างไร มีแต่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบให้ผมแต่มันก็ไม่ทันใจ  และมันเป็นใบ้ ในขณะที่ผมกำลังเดินทางผิดมันก็ไม่บอก  ดังนั้นใครก็ตามที่อ่านมาถึงตรงนี้และยังเรียนหรือศึกษาอยู่ ผมกำลังจะบอกว่าถ้าคุณเรียนแล้วคุณกลัวการสอบนั้น แสดงว่าคุณยังไม่ได้เข้าถึงแก่นของการหาความรู้ จงมองว่าคุณกำลังหาความรู้และมีคน หรือครู กำลังทดสอบคุณ เพื่อให้คุณได้รู้ถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง ถ้าคุณจะเรียนได้เก่งคุณจะต้องไม่กลัวการสอบ และโหยหาการสอบ เพราะการรู้อะไรผิด ๆ นั้นก็แย่ พอ ๆ กัน หรือแย่กว่า การไม่รู้

ในเวลานี้ก็แอบเข้าถึงความรู้สึกของโทมัส เอดิสัน คนที่ทดลองนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ได้หลอดไฟมาจนปัจจุบันนี้ ในวันที่ไม่มีใครให้ถาม ในวันที่ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะทางที่คิดมันผิด เราไม่ได้เดินในเส้นทางตรง ๆ เพื่อไปถึงยังคำตอบนั้น และเราหลงทางทุกครั้ง คำตอบที่เราต้องการวางอยู่ตรงไหนไม่รู้ มันเป็นความท้าทายของการศึกษาค้นคว้าแหล่ะนะ

กลไกลในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ของผมส่วนหนึ่งคือ ในขณะที่ผมเรียนรู้สิ่งที่ผมสนใจนั้น ผมทำคลิปเพื่อให้คนอื่นดูด้วย ผมพูดและนำเสนอสิ่งที่ผมไปรู้มาด้วย ไม่ใช่เป็นการอวดรู้ หรืออวดว่าผมนี้รู้ดีกว่าคนอื่นนะ แต่ผมอยากจะได้คนที่เป็นเหมือนคุณครู คือคนที่รู้เยอะกว่ารู้มากกว่า มาบอก มาสอนผมว่าผมผิด ผมไปผิดทางเข้าใจผิด ฯลฯ  หรือแม้กระทั่งการทักท้วง ติติงในสิ่งที่ผมรู้เพื่อให้ผมเกิดไอเดีย  เพราะการไม่รู้ถูกผิดนี่แหล่ะทำให้มันลำบากมากเหมือนคุณลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอวกาศ เกิดความไม่แน่ใจไม่มั่นคงในสิ่งที่เรียนรู้มา และการผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าบางทีมันก็บั่นทอนจิตใจ

ดังนั้นผมจึงมองว่าการที่มีคนมากระทบ มาวิพากษ์ แสดงความเห็นแย้ง หรือทะเลาะ นั้นเป็นเรื่องดีเพราะการทำแบบนั้นคือการขัดเกลาซึ่งกันและกัน เหมือนนักกีฬา ทำไมเขาแข่งกัน ถ้าคุณเป็นนักมวยแต่ไม่เคยชกกับใครเลย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเก่งแค่ไหน หรือคุณมีจุดอ่อนอะไรต้องปรับปรุง ผมยอมรับว่าผมเกิดไม่ทันความคิดนี้ คือผมได้ความคิดนี้ในวันและเวลาที่ล่วงมาแล้ว แต่โชคดีที่โลกมีอินเตอร์เน็ต มี social media ในการแสดงความคิดเห็นของเราออกไป แม้จะแสดงความคิดเห็นออกไปเพื่อให้คนอื่นด่า หรือกระทั่งด่าคนอื่น มันก็คือการขัดเกลาความคิดรูปแบบหนึ่งในช่วงชีวิตที่คุณไม่มีข้อสอบอีกแล้ว

ดังนั้นการขัดแย้งของผมคือการขัดเกลา การได้กระทบกระทั่ง ผมไม่คิดว่าผมจะชนะตลอดและแน่นอนผมคิดจะเอาชนะ แต่การแพ้ผมก็จะมองว่าเป็นเรื่องดีอย่างน้อยมันจะได้ทบทวนตัวเอง ว่าตัวเองผิดตรงไหน ความคิดชุดไหนดีกว่ากัน ความคิดชุดนั้นก็จะควรได้ไปต่อ

สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่อ่านมาถึงตรงนี้อยากให้ฟังอา หรือลุง ว่าไม่แปลกหรอกที่เราไม่ชอบเรียน เพราะเรายังเด็ก เราไม่ได้อยากรู้เรื่องที่ครู ๆ สอนสักหน่อย  แต่มันมีเทคนิคอยู่อย่างหนึ่งถ้าอยากได้เกรดสวย ๆ นะ คือถ้าพยายามชอบหรือพยายามค้นคว้าว่าครูเขาสอนอะไร พยายามสนใจเหมือนอ่านหนังสือ หรือดูหนังสักเรื่อง แล้วอยากรู้ตอนต่อไป หรืออยากรู้รายละเอียดลึกซึ้งกว่าที่หนังสือเล่มหลักมีสอน และเมื่อถึงวันหนึ่ง น้อง ๆ ก็จะเดินเข้าห้องสอบแบบ ฉันอยากสอบ ฉันอยากรู้ว่าที่ฉันรู้หน่ะมันถูกต้องไหม

ย่อหน้าสุดท้ายจริง ๆ การใช้ชีวิตเพื่อหาคำตอบ หลาย ๆ เรื่องรอบตัว มันก็สนุกดีนะ ถึงแม้ว่าจะอยู่คนเดียวแต่มันก็ทำให้วันพรุ่งนี้ผมอยากจะตื่นมาเพื่อค้นคว้าสิ่งที่อยากรู้ต่อเนื่องไป

#วันนี้ไม่ใช่วันเกิดของผม ผมเกิดมานานแล้ว 38 ปีที่แล้วโน่นแหน่ะ