วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Back Story ในวันนั้น ... กรณีรถมอเตอร์ไซด์หายไปจากหอพัก

ก่อนจะไปสู่เนื้อหลักของบทความ ก็ต้องบอกว่าควรเข้าไปอ่านข่าวนี้ก่อน

ข่าวรถหาย


ผมคือเจ้าของหรือผู้ดูแลหอพักนี้เองแหล่ะนะ วันนั้นเป็นคืนของวันพฤหัสเข้าวันศุกร์ ทุกอย่างก็ดูเหมือนปกติ เหมือนที่เคยผ่านมาตลอด 10 กว่าปี อย่างน้อยก็ในช่วงของวันพฤหัสบดี ในคืนนั้นราว ๆ ตีสอง ผมก็ยังไม่ได้นอนปกติก็นอนช่วงตี 2 - ตี 4 อยู่แล้ว ในช่วงนี้ เวลาชีวภาพในตัวของผมมันก็สับสนเล็กน้อย ยังเคยคิดกับตัวเองเลยว่า โหเมื่อก่อนตี 2 นี่ตัวต้องอยู่บนที่นอนแล้วนะ แต่ทำไมเดี๋ยวนี้นอนตีสี่ ตื่น 10 โมง ก็รู้สึกอาย ๆ เหมือนกันที่ต้องมาเปิด office เวลา 10 โมงเช้า

แต่ในเหตุการณ์ปกติของหอพักขนาดผมที่ว่านอนช้าแล้ว ก็ยังแพ้พวกเด็ก ๆ ที่อยู่ในหอ ตีสาม ตีสี่ ยังมีเสียงเดินขึ้นบันไดบ่อย ๆ คือน้อยวันที่จะไม่ได้ยินเสียง ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงในใจก็จะคิดว่า โห ดึกขนาดนี้ยังมีคนเดินขึ้นเดินลงหอพักอีกเหรอวะเนี่ย ... คือมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับชาวกรุง แต่ชาวเพชรบุรีเนี่ย สองทุ่มร้านรวงก็ปิดหายกันไป 95% แล้ว ไม่มีใครอยู่ดึกขนาดนั้นหรอก

ย้อนกลับมาในคืนนั้นมันมีเหตุการณ์เพิ่มเติมคือ ช่วงตีสอง ผมเห็นว่าเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ที่เปิดให้บริการหน้าหอพักยังทำงานอยู่ ผมก็เดินไปดูเพราะได้ยินเสียงของเครื่องซักผ้าทำงาน ด้วยใจที่คิดว่าโหซักผ้าดึกขนาดนี้ใครวะ แต่ในใจก็คิดถึงคน ๆ หนึ่งแล้วหล่ะ ในหอพักมีน้องคนหนึ่งชื่อ"น้องซิน"

น้องซิน ปกติจะไม่ค่อยได้อยู่หอนี้หรอก หอนี้เอาไว้บังหน้า ปกติจะไปอยู่ ไปนอนที่อื่น เช่าหอไว้ให้ดูว่าสวยใสเวลาพ่อแม่มาเยี่ยม มาหาแหล่ะนะ น้องซินนี่ชอบแอคทีฟเวลากลางคืนประจำ คือจะเสียงดัง ๆ หน่อย ถ้าน้องซินเลือกที่จะนอนที่หอในคืนนั้น น้องซินอยู่ชั้นสามแต่ถ้าเงี่ยหูฟังดี ๆ ก็จะพอได้ยินเสียงเพลงแว่ว ๆ ลงมาได้ไม่ยากในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด  ความดังของน้องซินในเวลาค่ำคืนนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะว่าเขาพักอยู่ในโซนเพื่อนของเขา คือถ้าเสียงดังก็คงเคลียร์กันได้ ไม่มีปัญหาอะไรผมก็โอเคโดยกลาย ๆ ก็ยอมรับได้ แต่จริง ๆ ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นหรอก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องซินเลือกจะซักผ้าหยอดเหรียญในเวลาตีสอง น้องซินอยู่กับผมมาราว ๆ 2 ปี ถึงแม้ว่าตู้หยอดเหรียญจะเพิ่งตั้งมา 1 ปี วีรกรรมของน้องซินก็นอกจากจะซักผ้าตีสอง ผมเคยเจอราว ๆ 2 ครั้ง ก่อนหน้าคื่นนี้ที่กำลังจะมีเหตุเกิด และยังเป็นผู้ต้องสงสัยในเรื่องของผ้าใครในเครื่อง คือทิ้งผ้าไว้ในเครื่องไร้การหยอดเหรียญ ไว้สองวันสองคืน จนผมต้องล้วงออกเพราะเห็นว่าไม่เห็นมีใครมาซักมาเป็นเจ้าของ ผมล้วงออกแล้วเอาใส่ถุงพลาสติก วางแถว ๆ นั้น เวลาล่วงเลยไปอีกสองสัปดาห์ไม่มีใครมาเก็บ มาเอาไป ผมก็เลยต้องทิ้ง เอาเป็นว่านิสัยน้องซินก็จะประมาณนี้

กลับมา ผมก็จะปิดหอ คำว่า "ปิดหอ" ก็หมายถึงว่าผมจะเอากุญแจคล้อง ที่ประตูทางเข้าออกหลัก ก็คือประตูที่จอดรถนั่นแหล่ะ แล้วก็คล้องด้วยแม่กุญเจคนภายนอกจะเข้าได้ยากหน่อยเพราะต้องจัดการกับกุญแจที่คล้องด้านใน ถ้ามีทักษะก็จะไม่ยากอะไร การจะทำอะไรแบบนี้ไม่ว่าจะมีทักษะหรือไม่มีจะส่งเสียงเบา ๆ เสมอ จะได้ยินแหล่ะถ้าผมนั่งอยู่ในออฟิศที่ปิดทำการแล้ว แต่ยังไม่นอนนี่จะรู้เลยว่ามีคนกำลังจะเข้าหอ ....... แต่คืนนั้นหลังจากที่ได้ยินเสียงเครื่องซักผ้าทำงาน ผมก็เดินไปชะโงกดูหน่อย ก็เห็นว่ามีการซักผ้า ซึ่งผมก็คิดว่ามีอยู่เจ้าเดียวแหล่ะในหอที่จะทำอะไรแบบนี้ (ซึ่งก็ไม่ผิดภายหลังมาไล่ดูกล้องวงจรปิดก็พบว่าน้องซินมาเอาผ้าตอนตีสี่)  ผมก็เลยตัดสินใจแค่ปิดประตูไว้แต่ไม่ได้คล้องกุญแจ เพราะคิดว่าเดี๋ยวไอ้ซินก็คงลงมาเอาผ้า (คือถึงแม้ว่าผ้าจะซักเสร็จ แต่ซินก็ลงมาเอาช้า ... บอกตรง ๆ ในใจยังคิดว่าไอ้ซินจะต้องลงมาเอาตอนเช้าหล่ะมั้ง ... แต่กระนั้นผมก็เลือกที่จะไม่ล็อกประตู เพราะเดี๋ยวไอ้ซินก็ทำเสียงดังอีกตามนิสัยของเขาหล่ะ)

ผมบอกตรง ๆ ว่าผมไม่ได้ประมาทนะ แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวถ้าไอ้ซินเดินลงมา ผมก็คงได้ยินแล้วเดี๋ยวค่อยไปคล้องกุญแจก็ได้ เพราะผ้าซักเหมือนจะนานแล้ว แล้วผมก็ตั้งใจจะนอนช่วงตีสาม คือผ้าซักกับตู้หยอดเหรียญนี่ก็ประมาณชั่วโมงหนึ่ง คือถ้าซินลงมาเอาผ้า ผมก็ค่อยไปคล้องกุญแจ ก็ด้วยความหวังว่าจะได้ยินเสียงหล่ะนะ และการลืมคล้องประตูนี่ก็ไม่ได้เป็นครั้งแรก ในหนึ่งปีอาจจะมีลืม ๆ ประมาณ 3 - 4 ครั้ง ราว ๆ นี้ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรด้วย กล้องวงจรปิดเราก็มี ตั้งแต่ไม่มีกล้องวงจรปิด ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็สงบมาตลอดไม่เคยเกิดเรื่อง เคยมีเรื่องรถหายครั้งหนึ่งเมื่อราว ๆ ปี 50 - 51 จำไม่ได้เป๊ะ ๆ แต่ตอนนั้นก็ได้รถคืน รายละเอียดอาจจะมีกล่าวถึงนะครับ

ในตอนนั้นก็จบลงตรงที่ผมเข้านอนแล้วก็ไม่ได้คล้องประตูนั่นแหล่ะ ผมจำได้ว่าคืนนั้นมีเหตุการณ์แปลก ๆ อีกก็คือว่า เด็กประมง วิ่งขึ้นวิ่งลงตอนตี 5 ครึ่ง จนผมไม่ได้นอน ผมต้องออกไปดูว่าใครวะขึ้น ๆ ลง ๆ ตอนเช้ามืดแบบนี้ ก็เป็นเด็กประมงซึ่งในหอมีอยู่หลายห้อง (ประมาณ 4 ห้อง) เข้าใจว่าคงไปดูงาน หรือมีกิจกรรมอะไรตอนเช้าที่มหา'ลัย ก็ออกไปดูเห็นเป็นเด็กประมงไม่ใช่เป็นเพื่อนเขาหรือใครก็เลยไม่ได้เอ็ด ไม่ได้ว่า ก็กลับเข้าไปนอนแต่ย้ายมานอนที่ออฟฟิศแทน มานั่งเงกหลับในออฟฟิศ

มือถือก็ลืมไว้ในห้องนอนนั่นแหล่ะ พอตอนเกิดเรื่องรถหายเด็กโทร ก็ไม่มีคนรับหล่ะ ก็หลายสายอยู่ กว่าผมจะตื่นมาเปิดออฟฟิศก็เป็นเวลาล่วงราว ๆ 9 โมงไปแล้ว แล้วก็เริ่มรู้ว่าได้เกิดเหตุการณืไม่ดีขึ้นมาเสียแล้ว เพราะหน้าหอก็เต็มไปด้วยเด็กเพื่อน ๆ ของตั้ม (คนที่รถหาย) ยืนบ้างนั่งบ้างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไป  ตอนนั้นก็คือเขาแจ้งตำรวจไปแล้ว




เมื่อผมได้รู้ข้อมูล ผมก็รีบเปิดกล้องดูเลย ซึ่งค้นหาไม่ยาก เพราะของหาย แล้วก็ของที่หายอยู่หน้ากล้องตัวที่อยู่ในระยะชัดที่สุดพอดี มันไม่ยากเลยใช้เวลาไม่ถึงนาที ก้ได้ภาพของคนร้ายเลย



แว้บแรกที่ผมนึก ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของคนรู้จักข้อมูลของตั้ม คือต้องทำความเข้าใจและรู้จักตั้มก่อน ดังนั้นเราจึงจะมาทำความเข้าใจตั้มในมุมมองของผมกัน

1. ตั้ม นอนอยู่ห้องสุดท้ายของชั้น 1 ห้องที่เห็นในรูปนั่นก็คือห้องสุดท้ายของหอพัก แต่ไม่ใช่ห้องของตั้ม เพราะตั้มจะอยู่อีกปีกหนึ่ง ก็คือเป็นห้องตรงข้ามกับห้องในรูป วิวด้านนอกห้องตั้มจะเป็นต้นมะม่วง ถ้าเข้าไปลิงค์ข่าวแล้วจะเห็นรูปที่เขาถ่ายภาพรถของเขา ตั้มเช่าอยู่ตั้งแต่ย้ายมาเรียนปี 1 ที่ราชภัฎเพชรบุรี
2. ตั้มเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ คนรู้จักเยอะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ประมาณช่วงเดือน สิงหา กันยา ตั้มมาบอกว่าขอใช้พื้นที่ด้านหลังหอ โดยเขาจะเก็บกวาดให้ แลกกับเขาขอนั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือในพื้นที่ด้านหลัง
3. เนื่องจากที่นี่เรียนไม่หนัก ตั้มมีเวลาว่างเยอะ ตั้มจะใช้เวลาว่างในการแต่งรถ ล้างรถ รื้อรถ ถ่ายน้ำมันเครื่อง อยู่ด้านหลังหอประจำ ๆ แรก ๆ ตั้มก็จะทำอยู่คันเดียว แต่หลังจากเรื่องขอใช้พื้นที่ เพื่อน ๆ ของตั้มก็เข้ามาใช้พื้นที่ตรงนั้นประจำ ในการนั่งคุย นั่งเล่นเกมส์ นั่งแต่งรถ รวมถึงนั่งสูบบุหรี่ ซึ่งผมก็จะต้องคอยปราม แต่ก็จะเห็นก้นบุหรี่บริเวณนั้นประจำ
4. ระยะหลังตั้มลืมกุญแจไว้ในห้องบ่อยมาก เพราะต้องมาขอกุญแจสำรองจากผมประจำ จนเป็นอันดับหนึ่งเรื่องของการขอกุญแจสำรอง เนื่องจากเพื่อนเยอะการเข้าออกบ่อย ๆ ก็เรียกว่ามีความวุ่นวายในระดับหนึ่ง ซึ่งจะดีหน่อยที่จะวุ่นวายในเวลากลางวัน สัปดาห์หนึ่งก็จะมีทติ้งกับกลุ่มเพื่อน ๆ เขา ประมาณ 3 วัน
5. รถคันที่หาย รถของตั้มเป็นรถแต่ง เอกลักษณ์โดดเด่นของรถจะอยู่ที่ล้อกับท่อ ท่อจะเสียงดังสนั่นเลย ถ้าสตาร์ทในหอเสียงจะก้องมาก ตั้มเองก็ดีตรงที่ไม่ค่อยสตาร์ทรถในหอ และก็มักจะดับเครื่องเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน
6. คนที่เข้า ๆ ออกหอพัก ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของหอพัก ก็คือกลุ่มของตั้มกลุ่มเดียว เพราะห้องอื่น ๆ ก็จะอยู่กันแบบเงียบ ๆ นานที ๆ จึงจะมีเสียงดังสักที
7. ตั้มพักเช่าห้องอยู่คนเดียว แต่อยู่ติดกับเพื่อนสนิทเขาอีกคนชื่อชาลี

ดังนั้นจากข้อมูลของตั้มแว้บแรกที่ผมดูกล้องเสร็จแล้วถามตั้มว่ารู้จักไหม ตั้มบอกไม่รู้จัก ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเพื่อนของตั้ม เพราะรถตั้มนั้นจอดอยู่ด้านในท้ายสุด ซึ่งเป็นโซนลึกสุดของการจอดรถมอเตอร์ไซด์แล้ว จุดที่จอดก็มืด แคบ แต่มืดแบบพอมองเห็นคนได้ ไม่ได้มืดทึบ เพราะมีไฟเปิดอยู่ด้านหลังหอ คนร้ายเหมือนจะเลือกรถคันนี้

เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เมื่อนานมาแล้วย้อนกลับไปช่วงเมื่อตอนสร้างหอพักและเปิดกิจการได้ใหม่ ๆ ปีที่ 3 หรือ 4 นี่แหล่ะ ก็คงราว ๆ ปี 50 - 51 รถก็เคยหาย รูปแบบการหายคือมีคนมาจีบเด็กในหอ คือไม่ได้เรียน ไม่ได้ทำอะไร ก็ได้แฟนอยู่หอนี้ ผู้หญิงก็พาแฟนมาอยู่ แล้วคนนี้ก็ว่างก็ตะเวนคบเพื่อนไปเรื่อย แล้วรถก็หายเหมือนกับว่าเคยให้เพื่อนยืมรถไป แต่คราวนั้นสามารถตามได้เพราะมีคนชี้เป้าว่าคนเอาไปบ้านอยู่ไหน ก็เรียกตำรวจไปดำเนินการจับกุม หรืออะไรก็ว่าไป ผมก็พาผู้เสียหายขับรถตระเวนสองอำเภอเพื่อไล่ตามเบาะแส ก็ได้รถคืนมาก็ผ่านพ้นไปในคราวนั้น เกิดจากการคบเพื่อน

รอบนี้ปัญหาก็มีความคล้ายกันมาก แต่ต่างกันตรงที่ตอนโน้นมือถือเพิ่งจะมา คือมาแล้วแต่ได้ประมาณไม่กี่ปีดี หอพักผมก็เป็นหอที่เป็นหอปิดท้ายของโซน คือถ้าขับรถผ่านหน้าหอผมไปก็จะเป็นป่าแล้ว ไม่มีบ้านอะไรสักหลังไปอีกยาว ๆ เลยอีกหลายกิโลกว่าจะเจอบ้านอีกหลัง กล้องวงจรปิดก็ไม่มี อินเตอร์เน็ตก็ยังไม่บูม ... มือถือตอนนั้นใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้ก็แล้วกัน จอยังไม่เป็นสีด้วยซ้ำมั้งถ้าจำไม่ผิด หรือเพิ่งเริ่มมีจอสี

กลับมาไทม์ไลน์ปัจจุบัน ตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุก็มาสอบปากคำ เก็บข้อมูล เก็บรายละเอียด ผมก็ตัดไฟล์วีดีโอส่งให้ตำรวจ เรียกว่าทุุกอย่างจบภายในเที่ยง ไฟล์วีดีโอก็สามารถดูได้ในข่าว หรือในเฟซบุ๊คน้องตั้มแหล่ะนะ (ลิงค์อยู่ในข่าว) ผมก็ส่งมอบข้อมูลทุกอย่างที่เป็นวีดีโอกล้องวงจรปิดนี่คือข้อมูลที่ผมให้แบบไม่หวงไม่กั๊ก รวดเร็ว ฉับไว ไม่ต้องรอนานด้วยซ้ำ

ก็ด้วยความหวังว่าจะจับคนร้ายได้เร็ววัน เพราะภาพออกไปบนอินเตอร์เน็ตก็คาดหวังว่าน่าจะมีคนรู้จักและชี้เป้าได้มากขึ้นก็คือจบไปวันนั้น

วันเสาร์ (1 วันหลังเหตุการณ์)
ผมไปกรุงเทพเพราะน้องสาวคลอดหลานคนใหม่ ก็เลยต้องพาพ่อแม่ไปเยี่ยมน้องสาว ช่วงบ่าย ๆ เย็นก็มีตำรวจโทรมาบอกว่าอยากจะได้ภาพเพิ่ม ผมก็บอกว่าผมไม่อยู่นะ ผมอยู่กรุงเทพ

วันอาทิตย์
ตำรวจก็มาตอนช่วงสาย ๆ ก็มาขอภาพกล้อง ผมก็ส่งไฟล์ให้หลายไฟล์เลยตามที่เขาได้ขอมา ตำรวจก็เหมือนจะเดิน ๆ ไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ เช่นบ้านอื่น ๆ ด้วยหล่ะนะ  ก็เอาเป็นว่าเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่คนแถวนี้รู้กันหมด ไม่เป็นไรให้จับคนร้ายได้ ผมก็คิดว่าหอก็คงรอดกลับมาอีกครั้ง

ตั้มก็มาขอภาพเหมือนกัน เพื่อเพิ่มเติมจะได้เอาไปลงในเฟซบุ๊คผมก็จัดให้อย่างไม่ติดขัดอะไร ก็ส่งให้ตามที่อยากได้ทุกอย่าง

วันพุธ
ตำรวจเข้ามาอีกหนหนึ่ง เหมือนโดนเร่งมา เพราะคดีนี้ออกสื่อในอินเตอร์เน็ต ออกในเว็บชุมชนของเพชรบุรีด้วยก็คือลิงค์ด้านบนแหล่ะนะ

ตั้มก็มาขอข้อมูลอีก บอกว่าอยากได้ภาพสามวันก่อนหน้านี้ ผมก็บอกว่าได้เดี๋ยวทำให้ แต่ต้องหาอะไรมาเก็บไฟล์ไปนะเพราะไฟล์คงมีขนาดใหญ่พอสมควรกับกล้องสามตัว 3 วันก่อนหน้า ตั้มเริ่มไม่อยากจะลงทุนทำอะไร อยากให้ผมช่วยดูให้ ผมก็ถามกลับไปว่าถ้าเราเห็นว่าเขามาดูลาดเลาเราจะทำอะไรได้บ้าง ตั้มอยากจะให้ผมนั่งดูให้เขา ผมก็บอกว่าไม่ทำให้หรอกนะ อยากได้ก็เอา harddisk หรืออะไรมา save เอาไป หรือจะเลือกเป็นสายแลนก็ได้เดี๋ยวต่อเข้าตัวบันทึกกล้องให้ แล้วไปนั่งดูในห้อง ตั้มก็ไม่เอา ตกลงกันที่ให้ผมเตรียมไฟล์ให้ แต่ตั้มก็ไม่มาเอา ผมก็เสียเวลาเตรียมให้นะ


วันอังคารที่ 10 ธ.ค.
ตั้มมาขอย้ายออก

วันอังคารที่ 17 ธ.ค.
ชาลีขอย้ายออก

วันพุธที่ 18 ธ.ค.
ตำรวจเจอรถอยู่ที่ท่ายาง


โอเค หลังจากที่ผมนั่งดูวีดีโอหลาย ๆ รอบ ผมก็เปลี่ยนใจเป็นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าคนร้ายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเพื่อน ๆ ของตั้ม หรือแม้แต่การที่คนร้ายอาจจะไม่ได้รู้จักตั้มเป็นการส่วนตัวแต่ใช้วิธีพุ่งเป้า เพราะรถของตั้มก็เป็นรถแต่ง และของแต่งก็คงมีมูลค่า ผมก็อยากจะให้ตำรวจจับคนร้ายได้เร็ว ๆ หล่ะนะเพราะกล้องจับภาพใบหน้าได้ชัดมาก นี่ก็เกือบจะสองสัปดาห์แล้วยังไม่มีข่าวเลยว่าตำรวจทำงานถึงไหน คำถามที่อยากรู้ถาม และอยากรู้คำตอบมากที่สุดก็คืออยากรู้แรงจูงใจหล่ะนะ ว่าทำไมเลือกหอนี้ หรือเดาสุ่ม ผมไม่คิดว่าเป็นการเดาสุ่มนะ ผมว่ามันต้องมีเงื่อนงำ ไม่รู้สิ ...

หอผมนี่เป็นหอที่ติดถนนหลักนะ ห่างป้อมตำรวจประมาณ 200 เมตร (แต่ก็นะ) มีกล่องที่ตำรวจต้องมาเซ็นต์ชื่อแต่ก็เซ็นต์เฉพาะกลางวันแหล่ะ ไม่เคยตรวจกลางคืนเลย คนร้ายรู้หรือเปล่าว่ามีกล้อง และตอนกลางคืนตรงนั้นกล้องก็จะทำงานไฟก็จะติดเพราะกล้องจะสาดแสงอินฟราเรด

สำหรับผมผมก็คิดว่าคำเดียวที่อธิบายได้ง่าย ๆ กับตัวผมเลยก็คือ ถึงคราว "ซวย" เพราะชีวิตปกติของหอพักก็ดำเนินมาแบบนี้ เรื่องการเข้าออกตอนกลางคืนก็มีการปรับให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นตามกาลเวลา เพราะการแข่งขันมันก็สูง คนเช่าทั้งหมดก็เป็นเด็กที่มาเรียนที่ราชภัฎ ส่วนตัวผมถ้าใครอยู่กับผมมานานเขาจะบอกได้เลยว่า ผมปิดหอตอนราว ๆ 5 ทุ่ม และเมื่อจูงรถเก็บเข้าไปเก็บไว้ในหอแล้วคือผมก็จะไม่ออกอีกแล้ว ไม่มีการออกไปหาอะไรกินหลังจากที่ผมเก็บรถแล้ว ชีวิตก็วน ๆ แบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเลย น่าจะพูดได้ว่าตั้งแต่เปิดกิจการเลย นี่คือกิจวัตรของหอพัก คือถึงแม้ผมไม่ได้นอนแต่ธุระทุกอย่างก็จะจบลงหลังจาก 5 ทุ่ม ผมอาจจะนั่ง อาจจะตื่น หรืออาจจะนอนไปแล้วก็ได้ แต่ก็คือประมาณนี้ตลอด

ถ้าหอปิด 5 ทุ่ม แบบปิดตายเลย เข้าออกไม่ได้ ผมก็กล้าพูดเลยว่าผมหน่ะโอเค แต่กับเด็ก ๆ คงไม่โอเคเท่าไหร่ บางทีผมก็สะดุ้งตื่นตอนตีสาม ตีห้า ประจำ เพราะได้ยินเสียรองเท้า เสียงเกือก กระทบกับพื้น เด็กสมัยนี้นอกจากจะจอดรถแปลก ๆ แล้ว วิธีการใช้ชีวิตแบบเกรงใจแบบเคารพคนอื่นก็ดูจะลดลงด้วย (แต่จะว่าไปก็พวกผู้ใหญ่ คนโต ๆ ก็เป็น สังเกตจากการจอดรถยนต์หน้าหอพักนี่แหล่ะ)

บรรยากาศรอบตัว ..... ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ? เหมือนคนเช่าคนอื่นก็จะมองว่าผมผิด เกิดความปั่นป่วนในหอพักมากมาย โดยปกติแล้วหออื่น ๆ อาจจะมีการทักทายพูดคุยกันถ้าคนดูแลหรือเจ้าของหออัธยาศัยดี สำหรับผมนี่เหมือนผมจะคอยอำนวยความสะดวกมากกว่านะ ไม่ค่อยทักทายพูดจาปราศรัย บรรยากาศในหอก็เปลี่ยนไป ผมนี่ก็ได้แต่ร้องเห้อ สิ่งที่อุตส่าห์ทำมาไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงหอ การทำโน่นเติมนี่ การแก้ปัญหาให้หอน่าอยู่ การทำอะไรให้มันยืดหยุ่นแข่งขันกับเจ้าอื่นได้ ก็เหมือนเดินถอยหลัง หรือพังพินาศไป

โชคดีมีอยู่อย่างเดียวคือกล้องตัวที่จับภาพได้นี่คือเพิ่งเปลี่ยนใหม่ ตัวเก่ากลางคืนนี่มองไม่เห็นภาพเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเป็นกล้องที่ติดมานานแล้วประมาณ 5 - 6 ปีแล้ว ภาพที่ได้เลยออกมาชัด นี่ถ้าเป็นกล้องตัวเก่าก็จะได้ภาพมืด ๆ แบบไม่เห็นอะไรมากอาจจะเห็นเป็นจุด ๆ ขาว ๆ ก็ได้

หลังจากรถหายไปสองสัปดาห์ (เกือบ 3 สัปดาห์) แล้วได้คืน โดยที่ชิ้นส่วนที่หายไปคือไฟท้าย และป้ายทะเบียน สิ่งที่เหลือในอินเตอร์เน็ตคือหอพักนี้เคยมีรถหาย ซึ่งบางทีก็คิดว่าไม่ค่อยยุติธรรมเลย เด็ก ๆ ก็ย้ายออกรายได้ก็หายไป

เรื่องเด็กย้ายออกก็ไม่ใช่ว่าอยากจะให้เกิดขึ้นหรอก ถึงแม้ว่าพวกนี้จะสร้างความลำบากให้ผมบ้างเป็นครั้งคราวแต่ก็นะ ถ้าย้ายออกย้ายออกเพราะไม่มีเรื่องผมจะโล่งใจมากกว่า บอกตรง ๆ ส่วนหนึ่งเล็ก ๆ ในใจ นอกจากความซวยแล้วก็คิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าตั้มออก ชาลีออก ก็จะทำให้ความวุ่นวายในการรวมกลุ่มมั่วสุม ไม่ต้องได้กลิ่นบุหรี่หลังหอ พร้อมกับการทิ้งก้นบุหรี่ไว้ให้ดูต่างหน้า โดยไม่เกรงใจเลยว่าหอพักห้ามสูบบุหรี่ การเดินถอดเสื้อออกนอกห้องพักซึ่งผมก็เตือนบ่อย ๆ แต่ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานั่นแหล่ะ แล้วการฉีดพ่นสเปรย์เพื่อทำสีอุปกรณ์แต่งรถของพวกมัน ทำหอผมมีแต่รอยสีสเปรย์สีดำเปื้อนเป็นหย่อม ๆ ไปหมด แล้วมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งของตั้ม พูดคำว่า "ไอ้เหี้ย" ได้ทุกประโยคที่พ่นลมตดออกมาทางปาก ผมก็โคตรเกลียดเลย จะหาจังหวะว่ามันอยู่แต่ยังไม่ได้ว่าก็เกิดเรื่องเสียก่อน

ในตอนนี้รายละเอียดเรื่องการได้รถมาอย่างไรก็ไม่ชัดเจน คือเขาบอกว่าคนที่เอาไป มาทิ้งรถไว้ข้างทางก่อนจะมีคนแจ้งไปแล้วตำรวจก็ได้รับแจ้งแล้วเอามาคืนเจ้าของรถ ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ขาดข้อมูลจนผมต้องแอบส่งเพื่อนที่รู้จักไปสืบก็ยังไม่ได้ความมา เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นแต่เห็นว่ายังไม่เจอคนเอาไป ถึงแม้ว่าจะออกหมายจับแล้ว เจอรถอยู่ที่อำเภอท่ายาง ก็เป็นอำเภอติดต่อกัน

สุดท้ายสิ่งที่ผมอยากรู้ที่สุดคือ
คนร้ายมีแรงจูงใจอะไรในการกระทำการครั้งนี้ รู้จักกับตั้มไหม เล็งรถไว้หรือเปล่า เพราะเห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมตัวเตรียมกุญแจผีมาไข ... ความสัมพันธ์กับตั้ม เป็นเพื่อนของเพื่อนไหม หรือเป็นเรื่องอื่นเช่นเจ้าหนี้ลูกหนี้




















วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

พฤษภาหายนะ Disaster May

(ขออภัยเนื้อหามีคำหยาบคาย)
30 พฤษภาคม 2562


31 พฤษภาคม 2562

ปกติเดือน พ.ค. จะมีเรื่องทุก ๆ ปี อย่างปีที่แล้วก็ตัดสินใจ say goodbye กับ น้อง จ. ซึ่งหลังจากคุยกันมา 4 ปี เธอก็เลือกแฟนของเธอ ผมเป็นแค่เพื่อนคุยเท่านั้น การประมวลผลของผม ผมจะสำคัญกับเธอตอนที่เธอมีปัญหาเรื่องงานเท่านั้น ส่วนการคุยกันเกือบทุกวันตอนกลางคืน โดยเธอจะโทรหา เพราะกลัวรถไฟชนกัน นั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย (ยกเว้นช่วงสิ้นเดือน ที่เธอจะอยู่กับแฟนที่จะไม่ได้คุยกัน) ความสัมพันธ์ที่ไม่เคยเป็นของเรา ไม่เคยพัฒนาขึ้น ก็ตัดสินใจห่างมันซะ เพราะมันก็แค่นั้นแหล่ะ เสียเวลาเปล่า  สุดท้ายเขาเลือกแฟนเขาที่เขานอนด้วยอยู่ดี

ปีนี้ ตอนเช้ารบกับตุ๊กแกตัวเขื่อง มันมาจากไหนก็ไม่รู้ ตอนประมาณตีสาม ตีสี่ มันร้อง ต๊กแก ๆ  อยู่นั่นแหล่ะ ร้องทีร้องเสียงดังทำผมสะดุ้งตื่น เนือกจากเสียงมาถึงห้องผมแล้วมันก้อง คือโครงสร้างของอาคารตำแหน่งที่ผมนอน กับตำแหน่งที่ตุ๊กแกร้อง มันจะเกิดเรโซแนนซ์ เสียงดัง แบบดังมากจนต้องสะดุ้งตื่น ตีห้าไม่ไหวหล่ะ เอาไม้กวาดออกไปไล่ตีมัน มันหนีไปได้

10.13 น้อง จ. ส่ง Line มาทวงเรื่อง crystal report runtime  แต่นอนอยู่

11.30 น้อง จ. โทรมา
จากนั้น ก็ต้องตื่น เพราะ น้อง จ. โทรมาให้ช่วยแก้ปัญหางานที่ทำงาน หลังจาก พ.ค. ปีที่แล้วเราก็ห่างกัน แทบไม่ได้คุยกับน้อง จ. เลย น้อง จ. โทรมาเมื่อวานเพื่อช่วยให้ดู error ให้หน่อย ซึ่ง ก็นิสัยเหมือนเดิม เรื่องของเธอจะอยู่เป็นความสำคัญอันดับแรกเสมอ แล้วเธอจะไม่สนใจหรอก จะไม่ถามผมด้วยซ้ำว่าผมเป็นอย่างไร วันนี้ว่างไหม ไม่มีคำถามนี้ ซึ่งผมก็แกล้งไม่รับโทรศัพท์ไป ผมตอบกลับไปตอนช่วงเที่ยงช่วงบ่าย ระหว่างนั้นตอน 11 โมงเธอก็ยังพยายามติดต่อผมอยู่ดี แต่ผมไม่ได้นอน เพราะรบกับตุ๊กแก

ถ้าผมจะพูดเรื่องความชอบธรรมกับดูแล server ที่ศิริราช ปีนี้ศิริราชไม่ได้จ่ายเงินจ้างผมต่อ อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่จบลงไปกับน้อง จ. น้อง จ. เลยไม่ทำเรื่องให้ ถึงแม้ น้อง จ. จะบอกว่าทำเรื่องไปแล้วก็ตาม หรือกระทั่งมีการเปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่ เขาเลยไม่อนุมัติเรื่องเงิน แต่ก็นั่นแหล่ะ ต้องบอกเลยว่าสถานะตอนนี้ผมเป็นคนนอก ตอนคุยกันในเรื่องต่อสัญญานี้ก็เหมือน ๆ ว่าผมทำงานน้อย (คือ ผมเป็นตำแหน่งที่ปรึกษา ทำงาน 3 ปี แต่จะได้เงิน 2 ปี เรื่องก็เพราะ น้อง จ. ไม่ทำเรื่องในปีที่ 2 จนผมโวย ปีที่ 3 จึงทำเรื่องผมก็เลยได้เงินแค่ 2 ปี แต่ดูแลหน่ะดูแล 3 ปี แล้ว น้อง จ. ก็คือน้อง จ. นั่นแหล่ะ เวลามีปัญหาจะแจ้นมาหา ผมก็แก้ปัญหาให้ทุกที ด้วยความรวดเร็ว  มันก็เลยมองงานเหมือนง่าย แล้วก็ ปิ้วววว ผ่านไป ไม่เคยเห็นความสำคัญ บางทีคนไม่สำคัญก็เป็นคนไม่สำคัญ ผมจะสำคัญตอนเกิดเรื่องเท่านั้น ปีนี้ไม่ได้เงิน ไม่ได้จ้าง ตกงานครับ)  ตอนนี้เวลานี้ Server มีปัญหาแล้วไง น้อง จ. เดือดร้อน เพราะต้องรับหน้า และก็ทำนองเดิมครับ น้อง จ. ผู้รับผิดชอบเรื่องงานของตนเอง จะทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งต้องมาหาผม ซึ่งผมเดาว่าเธอก็คงไม่อยากสักเท่าไหร่ แต่คงวิ่งชนกำแพงจริง ๆ ไม่รู้จะแก้ไงหล่ะนะ

แล้วมาเป็นวันนี้เสียด้วย ซึ่งวันนี้เป็นวันสิ้นเดือนพฤษภา วันนี้ที่หอมีการย้ายออก เด็กโทรมาบอกล่วงหน้าไว้แล้ว สมองก็เบลอ ๆ ไม่ได้นอน เออแปลก ปกติแทบไม่เคยมีเรื่องพอมีเรื่องแม่งก็มาพร้อม ๆ กัน คนเช่าย้ายของเสร็จ ก็ติดต่อหาน้อง จ. ส่งลิ้งค์ให้โหลด Crystal Report run-time ไปให้ติดตั้งผ่านทาง Line  แต่ดูเหมือนสถานการณ์ น้อง จ. ยังไม่ดีขึ้น ก็ยังเซ็ทแล้วใช้งานไม่ได้ปัญหายังคงอยู่  ก็เลยโทรมาอีกหลายรอบ แต่ก็ขี้เกียจรับ (หมั่นไส้) จริง ๆ แอบไปนอนในห้องเพราะสมองมันเบลอ ๆ แล้วเอาโทรศัพท์วางไว้ที่โต๊ะในออฟฟิศ จึงไม่ได้รับ  เวลาล่วงไปถึงราว ๆ 16.00

15.50
มีน้องคนหนึ่งที่เคยโทรถามรายละเอียดห้อง วันนี้ตัดสินใจได้ ก็จะมาเช่า เราก็ยิ้มในใจ เออดี ย้ายออกปุ๊บได้ลูกค้าใหม่ปั๊บ แบบนี้เท่าทุน ปิดเทอมนี้เราน่าจะมีเงินทำอะไร ปรับปรุง เพิ่มเติม ให้หอนะ หลังจากที่เพิ่งติดแอร์ไปเมื่อวันที่ 29 พ.ค. (ติดแอร์ให้ห้องลูกค้าเป็นยี่ห้อ Hitachi 18,000 BTU Inverter) ที่หอเลือกใช้ของดีให้ลูกค้าเพราะว่าถ้าเกิดปัญหา ปัญหาก็วิ่งมาหาเราอัตโนมัติ  (ส่วนตัวผมนอนห้องพัดลมนะ) เราไม่อยากรบกับปัญหา ตอนแรกกะซื้อ Mitsubishi แพงกว่ากัน 3,000 ตอนซื้อพายายพัน (แม่)ไปด้วย ยายพันว่า Mitsu แพงเลยซื้อเป็น Hitachi แทน (นโยบายของแม่ก็จะเป็นแบบนี้ซื้อให้คนอื่นใช้ ก็จะเลือกของถูกลง ซึ่งตรงข้ามกับผม ผมก็พยายามปรับ mind set ของแม่อยู่ เพราะตอนนี้หอพักละแวกนี้มีมาก การแข่งขันมันจึงเกิดขึ้น) ก็หมดตังค์ไปราว ๆ 27,000 บาท  ก็เกิดเหตุขลุกขลักนิดหน่อย น้องต้องวิ่งไปกดเงิน พอวิ่งไปกดเงิน ระหว่างนั้น แม่โทรมา

16.00
แม่โทรมาหา บอกว่าพ่อบีบยาระเบิดขี้ เข้าตูด ไปสองหลอด (What !!!!) แกบอกว่าแกท้องผูกมาสองวันเลยใช้ลูกน้องให้ไปซื้อยาสอดในตูดแล้วบีบ แล้วจะถ่ายท้อง สองหลอด ตอนนี้ขี้ไหลไม่หยุด (What the fuck) ให้รีบมาพาแกไปหาหมอ ก็บอกไปว่าต้องรอลูกค้าเอาเงินมาจ่ายก่อน ช่วงนี้ให้แกกินเกลือแร่ เอาหลอดที่เสียบตูดไปล้าง แล้วเอาน้ำอุ่นฉีดเข้าไป คือเคยอ่านเจอว่าไอ้น้ำ ๆ ที่อยู่ในหลอดคือน้ำเกลือ เวลาลำไส้โดนเกลือ จะมีอาการ ทำให้คนถ่ายออกมา ก็เข้าใจว่าคงได้น้ำเกลือไปมากเกินไปเลยแนะนำแม่ไปแบบนั้น ไม่รู้ว่าแนะนำถูกหรือผิด แต่ตอนนี้ต้องรอน้อง เพราะจะเอาเงินมาจ่ายเรา

ระหว่างรอเราก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะวิ่งกลับบ้าน และเตรียมพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาล ไอ้น้องก็กลับมาเสร็จ เราก็จะขอสำเนาบัตร กับเบอร์โทร มันวิ่งไปเอาสำเนาบัตรอีกรอบ อืม ... เจริญหล่ะ รอไปอีก ตอนนี้ก็รู้สึกร้อนใจ จะไปบ้านแม่ จะไปดูพ่อ

สักพักมันวิ่งกลับมาก็ถามรายละเอียด เขาจะย้ายเข้าราว ๆ 20 มิถุนา  ก็โอเค ด้วยความที่กลัวว่าหอเต็มเลยเช่าเลย ไอ้เราก็อยากรู้ว่าสูบบุหรี่ไหมก็เลยถาม มันบอกสูบ (แม่งเอ้ย วันนี้มันวันงดสูบบุหรี่โลกนะเว้ยเฮ้ย) ....  ด้วยความอ่อนใจก็บอกว่าที่นี้สูบบุหรี่ไม่ได้เพราะเดี๋ยวไปรบกวนห้องอื่น และก็แสดงเจตจำนงค์ว่าจะคืนเงินให้เลยนะ แต่มันก็อยากจะเช่าอยู่มันก็บอกว่าจะไปสูบข้างนอก (กูไม่เชื่อ) แต่ก็ใจอ่อน มันทำหน้าทำตาอ้อนวอน ก็จำใจต้องรับไว้ คือปกติผมคืนเงินเลยนะ รู้งี้น่าถามมันตั้งแต่มันมารอบแรก ปกติถ้าผู้เช่าเป็นผู้ชายก็จะถามก่อน แต่นี่คือถามผิดจังหวะ ตอนแรกมาดูหอพักก็ลืมบอก ลืมถาม แต่โดยปกติถ้าเป็นผู้ชายผมถามคำถามนี้ทุกทีนะ ไม่คิดว่าจะเอาห้อง

16.30
ถึงบ้านแม่ พ่อก็นอนซม แกบอกว่าไม่ได้หมดแรง แต่ขี้ไม่ออก มีแต่น้ำไหลออกมา เราก็คิดว่าเป็นปฏิกิริยาของลำไส้แหล่ะ ที่จะต้องเอาเกลือออก ไม่รู้ว่าขี้แกออกหรือเปล่า แล้วทำไมท้องผูกสองวันแล้วจะต้องขี้ งง มาก ท้องผูกสองวันเองนะ ผมเคยท้องผูกสัปดาห์หนึ่ง ขี้แข็งเป๊ก เรียกว่าตอนเอาออกได้นี่คือแสบตูดเลยทีเดียว เบ่งแทบตาย แกยืนยันไม่ไปหาหมอ (ปกติพ่อนี่ดื้อมาก) เราก็หาอะไรกินรอดูอาการพ่อ เผื่อแกเปลี่ยนใจ ลูกน้องแกก็วิ่งไปซื้อข้าวของ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่  น้อง จ. ก็โทรมา คือ นึกในใจ อีนี่ใช่เวลาไหมเนี่ย ไม่พูดพร่ำถามอะไรมาก มารายงานผลว่าทำไม่ได้ ไม่ผ่าน เราก็ตอบเหรอ ๆ เออ ๆ ๆ  (คือไม่ถามเราเลยว่าเป็นไงบ้างว่างไหม ก็ไม่เป็นไร คนไม่รักกันก็ขี้เกียจจะเล่าอะไรให้ฟังมาก แล้วตอนนี้ก็ไม่อยู่หน้าคอม ช่วยอะไรก็ไม่ได้ แล้วพ่อก็ยังต้องลุ้น)

17.20
พ่อไม่เปลี่ยนใจ อาการก็ไม่ได้แย่ลง คือไม่ได้หมดแรง ไม่เวียนหัว หรือเป็นลม แต่แกนอนซมทำไมวะ ? งงเหมือนกัน แกบอกแกเจ็บรูตูด ก็ไม่รู้ว่าทำอีท่าไหนเหมือนกัน ก็อยากให้แกไปหาหมอแหล่ะนะ แต่แกก็ดื้อไง อาจจะอายด้วยหรือเปล่าไม่รู้ ก็ตัดสินใจกลับ ระหว่างขับรถกลับ น้อง จ. ก็โทรมา บอกว่าอยู่หน้าคอมพ์หรือเปล่า จะให้ช่วยรีโมทแก้ปัญหาให้หน่อย ผมก็พยายามบ่ายเบี่ยง แต่ก็นั่นแหล่ะ แถมแอบมีบ่นว่าวันนี้ไม่ได้กลับบ้าน คือ น้อง จ. จะกลับบ้าน นครปฐมทุกวัน ศุกร์ ตอนแรกก็แปลกใจไม่กลับบ้าน หยุด 3 วัน หรือจะพยายามแก้ปัญหา server ให้เสร็จวันนี้ ? ตามนิสัยพื้นฐานคือถ้าเป็นปัญหา หรือคำตอบ หรืออะไรที่น้อง จ. อยากได้ ... ต้องได้ !!! (ตอนนี้มีลางสังหรณ์ใจ นี่มันวันสิ้นเดือนนะ สงสัยมีนัยยะแอบแฝง  สงสัยผัวมาค้างที่คอนโดป่าว)

17.30
ก็กลับถึงหอ ก็ทักไปว่ามาแล้ว ก็มานั่งดู error แก้ ๆ error ไปทีละจุดตามอรรถภาพที่จะแก้ได้ น้อง จ. ใช้ Line โทรคุยมา ด้วยสภาพที่ network มันห่วยเสียงก็ไปไม่ถึงกัน พูดประโยคเดียวสามสี่รอบคิดในใจ แล้วไมรอบนี้มึงไม่โทรมาวะ ฮั่นแน่ รอโทรศัพท์แฟนอยู่หล่ะสิ แล้วก็คิดไม่ผิดจริง ๆ "พี่ ๆ เดี๋ยวแป้บนะ มีคนโทรมา ..." (แต่กูเสือกเอง ที่รู้ว่าแฟนมึงอ่ะสิ) หลังจากนั้นก็เปลี่ยนโหมดมาใช้เป็นโทรศัพท์คุยเออก็ดีขึ้นหน่อยค่อยทำงานได้ รีโมทเครื่อง เข้าไปก็แก้ ๆ ไปเรื่อย ระหว่างนั้นก็มี Line ข้อความเด้งมาจากบุคคลปริศนา "ไหวไหม" .... "จะกินไรป่าว"  ในใจกู อีเหี้ย ทำไมกูต้องมารับรู้ด้วยวะ ว่าที่ไม่กลับบ้านคือมึงนัดซั่มกันกับแฟนคืนนี้หน่ะสิ แล้วมันก็ต้องมาเป็นวันที่แย่ ๆ ของกูอีกต่างหาก

สุดท้ายแก้ไปแก้มาก็ยังติดที่ error นี้


มือถือก็ดันมาแบ็ตหมด คือมันเก่าแล้วแบ็ตบวมจนดันตัวเครื่องโป่งออกมา แบ็ตหมดในยามที่เราก็รอว่าแม่จะโทรมาไหม คือเป็นห่วงพ่อ แบ็ตหมดเพราะใครหล่ะ ?  คือ ... นี่เราห่างกันแล้ว ก็ยังมาตามรังควาน ในวันที่ Bad Day อีกจนได้ เท่านั้นยังไม่พอต้องมารับรู้วันนัดซั่มกันอีกกกก ทำไม server มึงไม่มีปัญหาตอนกลางเดือนทำไมจะต้องมามีปัญหาท้ายเดือนในวันที่มึงนัดกันด้วย ..  เงินก็ไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ต่อสัญญาจ้างดูแลโปรเจ็ค/เป็นที่ปรึกษาแล้ว แถมแบ็ตมือถือหมด ยัง ๆ ไม่พอ วันนี้ดันชาร์จไฟไม่เข้าอีก (ปกติแบ็ตเสื่อมแต่ชาร์จไฟเข้าปกติ แต่แบ็ตจะหมดเร็ว) ในใจคิด อะไรของพวกเมิงเนี่ย What the ....


วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562

มุมมองของผมในวัย 38 ปี

เดือนมีนาคม เป็นเดือนเกิดของผม ผมเกิดวันที่ 17 ผมกำลังจะมีอายุ 38 ปี   ถ้าเราพูดถึงระยะเวลา 38 ปีมันก็นานมากนะในมุมมองของมนุษย์คนหนึ่ง

ผมเชื่อว่าเราทุกคนล้วนใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ในขณะที่ผมกำลังนั่งพิมพ์อยู่นี้ คนอื่นก็จะทำอย่างอื่น ผมมักจะคิดเสมอ ๆ ว่า เรารู้แต่เรื่องของเราคนเดียว  คนอื่น ๆ ก็คงเป็นแบบเดียวกัน การใช้ชีวิตมันน่าพิศวงนะผมว่า ผมจึงชอบคิดอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตเสมอ ๆ นั่งมองคนอื่นใช้ชีวิต นั่งมองตัวเองใช้ชีวิต ในบางทีผมก็คิดว่าผมใช้ชีวิตตัวเองไม่ค่อยคุ้มเลย แต่มาคิดดูอีกทีมันก็อาจจะคุ้มก็ได้ในเส้นทางของมัน ในช่วงนี้ถึงแม้ว่าผมจะเป็นมนุษย์ตกงานคนหนึ่ง แต่ผมก็รู้สึกว่าชีวิตมันมีอะไรให้ทำเยอะแยะ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า คนอื่น ๆ เขาบริหารจัดการชีวิตอย่างไรกันบ้าง

ชีวิตช่วงนี้ก็อิสระมาก ไม่มีงานทำ มีแต่เรื่องที่ทำเล่น ๆ คือเป็นเรื่องทำเล่น ๆ 100% ไม่ได้เงิน-แต่เอาเงินที่ได้จากการเก็บสะสมออกมาใช้ บนพื้นฐานความคิดที่ว่า เงินเก็บมีพอสมควร คือไม่ได้มีเยอะแต่ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรในระยะเวลาอันสั้นนี้ นี่ถ้าพรุ่งนี้ตายคงเสียดายแย่ เก็บไว้ทำไมฟะ แล้วก็จ่าย ๆ ๆ ๆ นี่ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าเป็นคนที่ไม่โสดมีภาระ คงไม่ใช้เงินได้ไร้สาระแบบนี้ อยู่บนความโชคดีอีกอย่างคือสิ่งของที่ผมอยากได้ไม่ค่อยมีชิ้นไหนราคาหนัก ๆ เท่าไหร่ เงินในกระเป๋าผมนอกจากค่าของ ก็ไปจ่ายค่าขนส่งนี่แหล่ะ

บางทีจ่ายเงินไปซื้อของจนคิดว่าคงไม่มีอะไรอยากได้แล้วมั้ง แต่เวลาผ่านไปไม่นาน สองสามวัน มีของที่อยากได้ใหม่มาอีกแล้วก็ซื้ออีก แล้วก็ใช้ตรรกะเดิมในการปลอบใจตัวเอง

เพื่อนผมบางคนก็มีลูก บางคนก็มีปัญหาครอบครัว บางคนมีปัญหาสุขภาพเป็นมะเร็ง บางคนย้ายถิ่นฐานจากคนเพชรบุรี ก็กลายเป็นคนจังหวัดอื่น แต่งงานแต่การลงหลักปักฐานในสังคมใหม่ เวลาคิดแบบนั้นชีวิตคือการใช้เวลาที่ตัวเองมีอยู่ จะใช้แบบไหน คุ้มค่าไหม อาจจะอยู่ที่มุมมอง แค่รู้สึกได้ว่ามีชีวิต และหวงแหนมัน ใช้มันหาคำตอบให้กับตัวเอง ใช้สร้างประโยชน์ให้คนอื่นบ้าง บางทีก็ใช้มันไปทำธุระให้คนอื่นบ้าง ใช้มันเพื่อคนอื่นบ้าง มันก็จะวน ๆ แบบนี้

เจอข่าวเรื่องโรคใหม่โรคซึมเศร้า ก็ยังคิดอย่างเราจะมีโอกาสเป็นไหมวะ ก็เป็นห่วงเหมือนกัน เพราะไม่รู้กลไกลของมัน แต่ในทุกวันที่ตื่น นอกจากเอ้อระเหยอยู่บนหน้าจอคอมพ์ อยู่บนฟีด facebook มันก็ผลาญเวลามาก แล้วก็หมดวันจนคิดว่าเฮ้ยยยยยย เวลาหายไปไหน ไอ้ที่วางแผนว่าจะทำก็ผลัดไป เป็นวัน สองวัน สามวัน คือนิสัยแย่มากตรงนี้ยอมรับ ถ้ามองโลกในแง่ดีนี่คือคนโสดแหล่ะ เราไม่ต้องแคร์คนรอบข้าง เพราะไม่มีให้แคร์ (ประมาณก็ไม่มีใครเอาเราเป็นแฟนเหมือนกัน) ถ้ามีลูกก็ต้องใช้ชีวิตให้เป็นแบบอย่าง และก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ก็แอบสงสัยเหมือนกันนะว่าถ้าเรามีแฟนมีลูกชีวิตคงไม่ใช่แบบนี้แน่ ๆ ขืนเป็นแบบนี้มีหวังไม่รอด และไม่อาจจะเป็นแบบอย่างให้ลูกได้

สรุปการเป็นโสดมันดีไหม ? มันก็ไม่ดี บางทีก็เหงานะ และถ้าให้เลือกผมก็ไม่อยากอยู่เป็นโสดหรอกนะ การอยู่กับตัวเองมันเหมือนกับว่ามันทำให้เราไม่โตหรือเปล่านะ คือหมายถึงความคิดความอ่านไม่โต ไม่เรียนรู้จากคนอื่น แล้วยิ่งนี่อยู่คนเดียวด้วย คือสังคมเพื่อนสังคมการทำงานนี่ผมเป็นศูนย์เลย-แบบไม่มีเลย  ตอนเย็นก็ไปกินข้าวบ้านพ่อแม่ ก็ชีวิตวน ๆ อยู่ตรงนี้มาร่วม 15 ปีแล้วนะ บางทีก็งง ๆ ว่าเราใช้ชีวิตแบบนี้มาจะครึ่งหนึ่งของชีวิตแล้วนะ ได้ไง นั่งดูแลหอ ตอนเย็นขี่มอไซด์ไปกินข้าวที่บ้านพ่อแม่ คือถ้าเป็นบันทึกทั้งชีวิตที่ผ่านมาของเราก็คงจะ มีอะไรแปลก ๆ บ้างในช่วงแรก ครึ่งหลังแม่งเหมือนเดิมทุกอย่าง (ฮา) แต่มันก็ไม่เลวร้ายนัก ถ้ามองในด้านดีของมันหน่ะนะ

เวลาเรารู้สึกแก่เช่นในวาระวันเกิด มันก็จะนึกย้อนหลังไปถึงตอนช่วงเป็นเด็ก ความทรงจำตอนเป็นเด็ก ๆ ก็ลอยมา ก็เรียกได้ว่ามีความสุขนะพ่อแม่ก็เลี้ยงมาดี เรียกว่าครอบครัวดี ในการนึกถึงวันเก่า ๆ แสดงว่าเราเกิดมาโชคดีแล้ว ถ้าเกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหา มีความลำบาก เราก็คงจะรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง

ช่วงสองปีมานี้เริ่มมาศึกษาการเลี้ยงปลาทองอย่างจริงจัง เราค้นคว้าหาความรู้ที่มีอยู่เกลื่อน internet พบว่าบางความรู้ก็อาจจะไม่ใช่ ไม่ถูก หรือถูกแค่ส่วนเดียว ตรงนี้ทำให้นึกถึงตอนที่เราค้นหาความรู้ช่วงเป็นเด็ก ๆ

สมัยเด็ก ๆ ผมก็เหมือนเด็กทั่วไปที่ต้องไปโรงเรียน แล้วก็เรียน ๆ ก็คงเป็นประสาเด็กแหล่ะนะครับ ที่ก็จะมีเล่นบ้าง ผมไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่งอะไร ยิ่งไม่เก่งถ้าเทียบกับน้องสาวของผม (น้องสาวของผมรู้จักเกรด 3 ครั้งแรกตอนสมัยเรียน มหาวิทยาลัยมหิดล คณะวิศวะ และเป็น 3 แบบ B+ ด้วย .... นอกนั้นประวัติการเรียนของมันก็มีแต่เลข 4 ตลอด)  ผมเรียนเรื่อย ๆ สอบก็สอบ ไม่มีการอ่านหนังสือทบทวน มีเรียนพิเศษบ้าง จริง ๆ ก็ไม่รู้เรียนทำไมเหมือนกันนะ เอาเป็นว่าพ่อแม่เองก็สามารถที่จะจ่ายได้ ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบการศึกษาเท่าไหร่นักหรอก สำหรับผมก็เรียนไป พ่อแม่เองก็ไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรมากนัก  ผมเรียนไม่เก่ง แต่ก็อยู่ในระดับกลาง ๆ คือ ผมอาจจะไม่ติด 1 ใน 5 ของห้อง แต่ก็จะอยู่ราว ๆ 6 - 10 กว่า ๆ ของห้อง คิดว่าคงเห็นภาพ  แม่บอกว่าผมเป็นคนหัวดีแต่ผมเฉื่อย เรื่อยเปื่อย ก็เลยผลออกมาอย่างที่เห็นที่ต่างกับน้องสาวที่เรียนแบบเคร่ง ๆ เข้มงวดกับการเรียน

ผมนั้นแทบไม่รู้เรื่องเกรดเรื่องการประมวลผลคะแนนเลย จนอยู่ ม.ปลาย ที่พึ่งจะมารู้ว่าอ่อโครงสร้างของการได้เกรดดี ๆ เป็นแบบนี้ การคิดเกรดเฉลี่ย เขาคิดกันแบบนี้ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว คนอย่างผมนี่ไม่เคยอ่านหนังสือทบทวนก่อนสอบเลย เพื่อนสมัยมหาลัยก็พูดว่าคนอื่นอ่านแทบเป็นแทบตายแต่ผมนี่ดูเอ้อระเหยลอยชายมาก

เล่าออกนอกประเด็นไปไกล ผมกำลังคิดถึงเรื่องการหาความรู้สมัยเด็ก เราจะมีการสอบ การสอบนั้นแหล่ะที่เป็นตัววัดว่าสิ่งที่เรารู้นั้นผิดหรือถูก สมัยผมเด็ก ๆ สอบก็คือสอบได้คะแนน ได้เกรด อะไรประมาณนี้ ไม่เคยคิดว่ามันถูกเอาไป process กลางภาค ปลายภาค อะไรพวกนี้ด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าสอบ คนที่เก่ง ๆ ของห้องก็จะคะแนนสูงกว่าเรา
เวลาเราหาความรู้เองเราไม่มีการสอบแล้ว เราแทบไม่รู้เลยว่าคำตอบที่เรามีในมือนั้นมันถูกหรือผิด เราต้องเสียเวลาทดลอง ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีอะไรง่ายเหมือนกับการที่มีครูมานั่งตรวจข้อสอบให้เราพร้อมทั้งบอกว่าเราได้กี่คะแนน

ถ้าผมคิดได้แบบนี้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กนะ ผมคงเรียนเก่งไปแล้ว สมัยเรียนม.ปลาย หรือมหาลัย ผมเริ่มมีความกังวลในการสอบ เพราะว่าผมจะนอนไม่ค่อยหลับ หรือมักจะฝันว่าไปสอบไม่ทันประจำ นั่นเป็นสัญญาณว่าผมมีความกระวนกระวายใจในการสอบซึ่งก็เกิดช่วงท้าย ๆ ของชีวิตการเรียนแล้ว มันสายไปนะ...

ตอนนี้ผมโหยหาการสอบมาก สอบในวิชาความรู้ที่ผมได้สนใจศึกษา แต่ก็นั่นแหล่ะไม่มีอีกแล้วครูคนที่จะตรวจว่าความรู้ที่ผมรู้นั้นผิดหรือถูกหรือต้องแก้ไขอย่างไร มีแต่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบให้ผมแต่มันก็ไม่ทันใจ  และมันเป็นใบ้ ในขณะที่ผมกำลังเดินทางผิดมันก็ไม่บอก  ดังนั้นใครก็ตามที่อ่านมาถึงตรงนี้และยังเรียนหรือศึกษาอยู่ ผมกำลังจะบอกว่าถ้าคุณเรียนแล้วคุณกลัวการสอบนั้น แสดงว่าคุณยังไม่ได้เข้าถึงแก่นของการหาความรู้ จงมองว่าคุณกำลังหาความรู้และมีคน หรือครู กำลังทดสอบคุณ เพื่อให้คุณได้รู้ถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง ถ้าคุณจะเรียนได้เก่งคุณจะต้องไม่กลัวการสอบ และโหยหาการสอบ เพราะการรู้อะไรผิด ๆ นั้นก็แย่ พอ ๆ กัน หรือแย่กว่า การไม่รู้

ในเวลานี้ก็แอบเข้าถึงความรู้สึกของโทมัส เอดิสัน คนที่ทดลองนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ได้หลอดไฟมาจนปัจจุบันนี้ ในวันที่ไม่มีใครให้ถาม ในวันที่ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะทางที่คิดมันผิด เราไม่ได้เดินในเส้นทางตรง ๆ เพื่อไปถึงยังคำตอบนั้น และเราหลงทางทุกครั้ง คำตอบที่เราต้องการวางอยู่ตรงไหนไม่รู้ มันเป็นความท้าทายของการศึกษาค้นคว้าแหล่ะนะ

กลไกลในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ของผมส่วนหนึ่งคือ ในขณะที่ผมเรียนรู้สิ่งที่ผมสนใจนั้น ผมทำคลิปเพื่อให้คนอื่นดูด้วย ผมพูดและนำเสนอสิ่งที่ผมไปรู้มาด้วย ไม่ใช่เป็นการอวดรู้ หรืออวดว่าผมนี้รู้ดีกว่าคนอื่นนะ แต่ผมอยากจะได้คนที่เป็นเหมือนคุณครู คือคนที่รู้เยอะกว่ารู้มากกว่า มาบอก มาสอนผมว่าผมผิด ผมไปผิดทางเข้าใจผิด ฯลฯ  หรือแม้กระทั่งการทักท้วง ติติงในสิ่งที่ผมรู้เพื่อให้ผมเกิดไอเดีย  เพราะการไม่รู้ถูกผิดนี่แหล่ะทำให้มันลำบากมากเหมือนคุณลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอวกาศ เกิดความไม่แน่ใจไม่มั่นคงในสิ่งที่เรียนรู้มา และการผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าบางทีมันก็บั่นทอนจิตใจ

ดังนั้นผมจึงมองว่าการที่มีคนมากระทบ มาวิพากษ์ แสดงความเห็นแย้ง หรือทะเลาะ นั้นเป็นเรื่องดีเพราะการทำแบบนั้นคือการขัดเกลาซึ่งกันและกัน เหมือนนักกีฬา ทำไมเขาแข่งกัน ถ้าคุณเป็นนักมวยแต่ไม่เคยชกกับใครเลย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเก่งแค่ไหน หรือคุณมีจุดอ่อนอะไรต้องปรับปรุง ผมยอมรับว่าผมเกิดไม่ทันความคิดนี้ คือผมได้ความคิดนี้ในวันและเวลาที่ล่วงมาแล้ว แต่โชคดีที่โลกมีอินเตอร์เน็ต มี social media ในการแสดงความคิดเห็นของเราออกไป แม้จะแสดงความคิดเห็นออกไปเพื่อให้คนอื่นด่า หรือกระทั่งด่าคนอื่น มันก็คือการขัดเกลาความคิดรูปแบบหนึ่งในช่วงชีวิตที่คุณไม่มีข้อสอบอีกแล้ว

ดังนั้นการขัดแย้งของผมคือการขัดเกลา การได้กระทบกระทั่ง ผมไม่คิดว่าผมจะชนะตลอดและแน่นอนผมคิดจะเอาชนะ แต่การแพ้ผมก็จะมองว่าเป็นเรื่องดีอย่างน้อยมันจะได้ทบทวนตัวเอง ว่าตัวเองผิดตรงไหน ความคิดชุดไหนดีกว่ากัน ความคิดชุดนั้นก็จะควรได้ไปต่อ

สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่อ่านมาถึงตรงนี้อยากให้ฟังอา หรือลุง ว่าไม่แปลกหรอกที่เราไม่ชอบเรียน เพราะเรายังเด็ก เราไม่ได้อยากรู้เรื่องที่ครู ๆ สอนสักหน่อย  แต่มันมีเทคนิคอยู่อย่างหนึ่งถ้าอยากได้เกรดสวย ๆ นะ คือถ้าพยายามชอบหรือพยายามค้นคว้าว่าครูเขาสอนอะไร พยายามสนใจเหมือนอ่านหนังสือ หรือดูหนังสักเรื่อง แล้วอยากรู้ตอนต่อไป หรืออยากรู้รายละเอียดลึกซึ้งกว่าที่หนังสือเล่มหลักมีสอน และเมื่อถึงวันหนึ่ง น้อง ๆ ก็จะเดินเข้าห้องสอบแบบ ฉันอยากสอบ ฉันอยากรู้ว่าที่ฉันรู้หน่ะมันถูกต้องไหม

ย่อหน้าสุดท้ายจริง ๆ การใช้ชีวิตเพื่อหาคำตอบ หลาย ๆ เรื่องรอบตัว มันก็สนุกดีนะ ถึงแม้ว่าจะอยู่คนเดียวแต่มันก็ทำให้วันพรุ่งนี้ผมอยากจะตื่นมาเพื่อค้นคว้าสิ่งที่อยากรู้ต่อเนื่องไป

#วันนี้ไม่ใช่วันเกิดของผม ผมเกิดมานานแล้ว 38 ปีที่แล้วโน่นแหน่ะ


วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

คาสิโน บาคาร่า ออนไลน์ ประสบการณ์ เล่นไปมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง รับรองได้ครับ

หลังจากนอนไม่หลับ เพราะแมลงมด รบกวน มันเข้ามาทางไหนไม่รู้ แบบที่มีปีก มาตอมไฟในห้องนอน คือเปิดห้องนอนไปแล้วเจอไอ้ตัวนี้บินตอมไฟ นับคร่าว ๆ น่าจะเกิน 100 ตัว พยายามปิดไฟ เอาผ้าปัดที่อน เปิดไฟในห้องน้ำล่อก็แล้ว มันก็ยังบินมาเกาะตัวอยู่นั่นแหล่ะ เลยไม่ต้องนอนกัน


หลายวันก่อนเห็นคนแชร์วีดีโอบน facebook เป็นการเล่นพนัน แบบแทงไพ่ป็อกเด้ง (จริง ๆ มันคล้าย ๆ เพราะให้เราเลือกแทงฝั่งใดก็ได้ baker, player) ผ่าน Internet แล้วก็เกิดความสนใจ ว่า เอ... แบบนี้ถ้าเราแทงทบไปเรื่อย ๆ เจ้ามือมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้วลองหาอะไรทำดีกว่า  ว่าแล้วก็สืบเสาะเจาะหาช่องทางเข้าไปจนได้

ลงทุนไปครับ 1500 บาทแรก ได้โปรแถม 500 ด้วยนะ อิอิ คือด้วยความอยากรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันจะใช้ได้จริงหรือ คือโมเดลความคิดผมเป็นแบบนี้ครับ

ตาแรก เราแทง 100 ถ้าเสีย เราก็จะ x2 ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้ว มันจะต้อง + กำไร แน่นอน ถ้าเราเล่นสไตล์นี้ เจ้ามือน่าจะเสร็จนะ เราหาเงินได้แบบนี้ก็รวยได้ง่าย ๆ เลย นี่คืแว่บแรกที่คิดขึ้นมา แต่ก็มีส่วนหนึ่งคิดว่าแล้วเจ้ามือจะไม่รู้อะไรเหรอ ? งง? สงสัย? เอาจริง ๆ คือด้วยความอยากได้เงินด้วย ด้วยความสงสัยด้วย คืออยากมีประสบการณ์เรื่องนี้ด้วย เพราะหาข้อมูลมา ใช่เราเจอในเว็บพันทิป ว่ามีคนเสียหลายหมื่น หลายแสนด้วย เสียจนหมดตัว เลยสงสัย  ... แล้วเห็นเขาเล่นให้ดูในเฟสด้วย  ใน youtube ก็มี สูตรอะไรพวกนี้ คือมีคนเล่นให้ดูแล้วเราก็ฟังเขาก็เลยเกิดเออ สงสัย นอนก็ไม่ได้นอน

อีกสาเหตุหนึ่งก็คือเคยมีเพื่อนผู้หญิงที่เราแอบชอบเขาเคยถามเราว่าเราเคยเล่นพนันอะไรแบบนี้ไหม เราก็ตอบว่าไม่เคย เราก็เออว่าเอาไว้เก็บเป็นข้อมูลเพื่อจะไปเล่าให้เขาฟังได้ไง

หลักการในการเริ่มสมัครก็คือเราจะต้องใช้โปรแกรมไลน์ครับ เขาจะมี QR Code ให้เราสแกนไปคุย ก็จะมีรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งก็รู้สึกว่ามันแปลก ๆ ทำไมไม่ให้สมัครผ่านหน้าเว็บ หรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องคุยกับคน ไม่ต้องมีคนมาดำเนินการ รับเงิน โอนเงิน สร้าง account อะไรทำนองนี้ คืออันนี้คือทุกอย่างทำผ่านไลน์หมดเลยครับ

อย่างที่บอกด้วยความสงสัยก็ตามน้ำไปครับ รายละเอียดที่เขาถามก็เป็นรายละเอียดทั่ว ๆ ไปที่เราก็แจกคนอื่นอยู่แล้ว ชื่อ นามสกุล เลขที่บัญชี เบอร์โทร อะไรพวกนี้ คือเราก็แจกไปทั่วอยู่แล้ว ไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความลับแต่อย่างใด พิจารณาแล้วก็เห็นว่าไม่มีอะไร ปลอดภัยดี ก็พิมพ์ในแชทไลน์ให้เขาไปครับ ในขั้นตอนนี้ดูเป็นแบบแมนวลมาก ๆ ครับ

เอาหล่ะก็พยายามไป 1500 แลกกับประสบการณ์ แต่จริง ๆ สมัคร 250 ก็ได้นะ แต่จะไม่ได้เงินฟรี 500 ตามโปรโมชั่น !!!!! จากนั้นทางฝั่งนั้นก็ได้ส่ง username / password ให้เราจริง ๆ ครับ



ผมใช้ Desktop เล่นนะครับ ก็จะเล่นผ่านเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ แค่ต้องเปิดให้ Flash ทำงานได้ คือเป็น Flash ครับคล้าย ๆ กับ Flash game ที่เราเล่นบน web browser ทั่ว ๆ ไปครับ

กรอก username / password ก็เข้าสู่ระบบของเขาได้ครับไม่ยากอะไร ก็มีการพนันให้เราเลือกหลายแบบนะครับ พวกที่อยู่ Line ที่เอาข้อมูลเราไปก็จะคุยกับเราดีครับ แนะนำ มีโทรมาคอนเฟิร์มรายละเอียดด้วยนะครับ แนะนำดีครับ คือถ้าใครเล่นไม่เป็นก็พร้อมจะสอนเลยหล่ะครับ

เข้าไปแล้ว Interface จะทำให้เราเหมือนกับเราอยู่ใน Casino จริง ๆ เลยครับ คนแจกไพ่ก็สวยครับ :)




Interface ทั้งหมดดูเนียนตามากครับ สถิติของการแพ้ชนะ ต่าง ๆ นา ๆ  เอาหล่ะครับผมก็เล่นไปโดยใช้วิธีการเล่นที่คิดไว้ แรก ๆ ก็ปกติครับ มีได้บ้างเสียบ้าง แต่เล่น ๆ ไป 1500 หมดอย่างรวดเร็วครับ ประมาณชั่วโมงหนึ่ง เล่นตาละ 100 ถ้าแพ้ก็ทบ x2 นะครับ

ตอนนั้นก็อึ้ง ๆ ตกใจเหมือนกันครับ เกิดอารมณ์ประมาณอย่างนี้ต้องเอาคืน !!!!

ก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันครับตอนนั้น แต่ก็ไม่อะไรมาก ด้วยความเนียนตาของโปรแกรม การมีลูกเล่นต่าง ๆ โปรแกรมเหมือนจะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เล่นคนเดียว (ตอนนั้นก็ยังไม่เฉลียวใจอะไรมากดู ๆ ไปก่อน) คนแจกไพ่ก็มีการเปลี่ยนตัวมีแอคชั่นเสมือนกับว่าเรานั่งอยู่ในคาสิโนจริง ๆ เลย (จริง ๆ ไม่เคยเข้าคาสิโนนะครับ เคยเห็นแต่ในหนัง)

ก็เลยจัดไป 1,500 บาท

ด้วยอัลกอริทึ่มเดิมเลยครับเสียก็ x2 แรก ๆ ก็ดูเหมือนจะโอเคครับ  แต่พอท้าย ๆ ชั่วโมงเวลาเล่นผมก็จะพยายามเดา โดยดูข้อมูล เช่น player กับ banker ไพ่ทางไหนดีกว่า แล้วก็แทง เวลาแทงก็ใจตื่นเต้น ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อะดรีนาลีนสูบฉีดดีครับ เรียกว่าตาสว่างกันเลยทีเดียว ตาละ 100 (ดูใน youtube เสี่ยโป้แทงตาละหลายแสน ใจจะเต้นขนาดไหน ฮ่า ๆ ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขารับงานมาหรือเปล่านะ)

รอบนี้ทำให้บรรลุสัจจะธรรมเลยครับ เพราะว่า สถิดิที่โชว์ด้านล่างผมดู ๆ แล้ว banker กับ player ชนะพอ ๆ กัน แต่รอบนี้ด้วยอัลกอริทึ่มของผมคือแทงทบ x2 ถ้าเสีย และกลับมา 100 ถ้าได้ ผลก็คือ Banker ออกไพ่ชนะแบบ 6 ตารวด  เสียดายผมไม่ได้แค็ปไว้ตอนนั้นยังหน้ามืดอยู่ครับ (ฮา ๆ) โอกาสแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นครับ ทำให้ผมหมดตูดอีกครั้ง โอกาสมันเป็นไปได้ยากมาครับในชีวิตจริง

แล้วก็มาสู่การบรรลุในธรรมะ ผมเริ่มสังเกตหลาย ๆ อย่างมากขึ้น เพราะโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ขาใดขาหนึ่งชนะรวดแบบนี้มันยากมากครับ



เมื่อเราพิจารณาดูดี ๆ จะพบว่า กราฟฟิคที่ดูเนียนตา แต่จริง ๆ แล้วก็จะมีจุดพิรุธคือฉากด้านหลังน่าจะเป็นเทคนิค Blue Screen คือเอาฉากด้านหลังมาแปะ จริง ๆ แล้วเหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นในห้องถ่ายทำนะครับ พูดง่าย ๆ คือมันหลอกเราให้คิดว่านี่คือ live สด แต่ไม่ใช่ครับ มันไม่ใช่ live สดแน่นอน นี่เป็นจุดใหญ่ที่สุดที่ผมอยากจะเตือนว่าถ้าคุณคิดว่านี่คือ live สด คุณคิดผิดครับ

ดอกหน้าไพ่ถ้าดูดี ๆ มันไม่เข้ากับแสงไฟ 100% คือมันพยายามที่จะทำให้ภาพออกมาเนียน (ซึ่งยอมรับว่าเนียนมาก หากไม่จ้องจับผิดนะครับ เราจะเห็นได้จากไพ่ที่เป็นรูปคน J Q K  แล้วก็ไม่ใช่คนที่มีความรู้ทางเทคนิคด้านนี้จริง ๆ คือแบบชาวบ้าน ๆ นะครับ) แต่ถ้าเราลองถ่ายทำวีดีโอจริง ๆ ดอกหน้าไพ่กับมุมมอง มันจะไม่ใช่ของจริง !!! มันคือใช้กระบวนการทาง software render ขึ้นมา ผมพยายามเพ่งดูหลายช็อต จะพบว่าถ้าถ่ายวีดีโอแบบ Real Time จริง ๆ ภาพจะไม่น่าออกมาเป็นแบบนี้ มันจึงเป็นข้อสรุปที่ผมสรุปขึ้นมา นั่นคือดอกไพ่ ถูก software สร้างขึ้น มันไม่ใช่ดอกไพ่ที่เกิดขึ้นจริง

ระบบของเกมส์จึงลื่นไหลมาก ๆ สามารถจะรู้ได้ว่าแต้มคืออะไร ผลรวม ฯลฯ  เสมือนว่าระบบมันดี แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ครับ ถ้าเราวิเคราะห์เทคนิคการทำ software ก็คือให้คนแจกถ่ายไป ดำเนินเกมส์ไป แต่ถึงเวลาจริง software จะรู้เลยว่า frameset หมายถึงตานี้จะแจกไพ่สองใบ  ตานี้ (frameset นี้)จะแจกไพ่สามใบ แล้วมาสร้างดอกหน้าไพ่เอาคราวหลังครับ มันจะดูลื่นไหลมาก ๆ ครับ ดังนั้นแต้มทุกอย่างจะถูกกำหนดหลังจากที่คุณกดยืนยันยอดแทงพนันในตานั้น ๆ ของคุณ นั่นทำให้เกิดสิ่งที่ผมโดนคือ ผมโดน algorithm ของ software ทำการ self defense คือป้องกันการสูญเสียเพราะตาหลัง ๆ ผมแทงมากขึ้น ๆ มากขึ้น หากว่าผมชนะ ชนะแล้วเลิก ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับเจ้ามือแน่นอน โปรแกรมจึง self defense ทำให้ banker ชนะหกตารวด แบบนั้น


บทสรุปครับ :  สำหรับคนที่หมกมุ่น หรือเป็นผีพนันเข้าสิง ก็อยากให้คุณหลุดพ้นนะครับ อยากให้คุณได้เจอบทความของผมนะครับ คุณจะไม่มีทางชนะ หรือกำไรแน่นอน เพราะ software จะกำหนด จะเก็บสถิติการเล่นของคุณ มีอ่อยเหยื่อบ้าง มียอมให้คุณชนะบ้าง ... ดังนั้นไม่แปลกครับถ้าคุณไป survey ข้อมูลใน google หรือ pantip คุณจะพบคำแนะนำให้เปลี่ยนโต๊ะ เปลี่ยนเจ้าแทง เพราะนั่นคือเปลี่ยน software คนละตัวกัน .... แต่คุณจะไม่มีทางกำไรแน่นอนครับ เพราะมันไม่ใช่การวัดดวงของคุณ มันเป็น software ที่เก็บข้อมูลทุกสถิติของคุณ  มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น RealTime นะครับ มันถูกสร้างขึ้นทั้งหมดด้วยพลังของ Computer ครับ  ...... เชื่อผมได้เลยครับ เพราะผมเป็นโปรแกรมเมอร์ อิอิ  ... ถ้าคุณคิดว่านี่คือการวัดดวง คุณกำลังคิดผิดครับ ฟันธง !!! มันไม่ใช่การวัดดวงครับ 


และแล้วก็กลับไปทำมาหากิน  เฮ้อ... แอบเสียดายเงิน 3,000 ผิดหวังนึกว่าจะมีช่องทางทำเงินง่าย ๆ เสียแล้ว โดนหลอกหง่ะ เอิ้ก ๆ ๆ