วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

นี่ก็เดือนเกิดแล้ว ก็อยากจะมาเวิ่นเว้ออะไรเกี่ยวกับชีวิตตัวของผมเองสักเล็กน้อย

เดือนเกิดของผมเองแหล่ะนะ ถึงแม้ว่า TV-Direct จะได้ส่วนลดเดือนเกิดแต่ปีนี้ไม่ซื้อดีกว่าเพราะเงินไม่มี ... (ฮา)

ผมก็อายุ 33 ขวบแล้วสินะ ถ้าเราหลับตานึกถึงภาพของของสักอย่างอายุ 33 ปี ก็จะรู้สึกว่ามันอายุเยอะมาก ๆ เวลาเราขับรถผ่านต้นไม้แล้วเราก็รู้สึกได้ว่าเจ้าต้นนี้เราเห็นตั้งแต่จำความได้  33 ปีนี้โคตรนานเลยนะ

เมื่อปีที่แล้วย่าผมตายไป อายุเกือบ 90 ปี ผมนึกในใจว่า โห นี่เท่ากับอายุเราสามรอบเลยเหรอ เราจะอยู่ถึงไหมนะ ร่างกาย 33 ปีนี้ก็รู้สึกไม่เหมือนเดิมแล้ว เหนื่อยง่าย ระบบการย่อยอาหารที่เคยกินได้สารพัดตอนนี้ก็เริ่มมีของต้องห้าม ต้องลดลงไปบ้าง ฟันก็มีผุ  กล้ามเนื้อบางส่วนก็มีเมื่อย ๆ บ้าง ๆ รู้สึกว่าไม่แข็งแรง รู้สึกว่าจะอยู่ได้ไม่นาน อยากว่าแหล่ะนะเราเองก็ไม่ได้ออกกำลังกายอะไรมาก น้ำหนักก็ไม่คุม น้ำหนักเยอะ จะอยู่นานไม่นานคงมีคำตอบในใจ

ผมนั่งมองชีวิตผู้คนที่ผ่าน ๆ เข้ามา ผมก็รู้สึกว่า การเกิดขึ้นมานี้ถือเป็นทุกข์จริง ๆ นะ คำพูดนี้เกิดขึ้นมาเมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว  ผมไปงานศพผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตา เป็นย่า เป็นปู่ ที่เลี้ยงเรามา เป็นอาที่อุปการะเรามา เราก็ยังระลึกถึงท่านเสมอ ก็จะเห็นได้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ๆ เหมือนมันหายไป มันจากไป  เราก็ยังมีเด็ก ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นรุ่นหลาน ๆ วัฏจักรก็คงวงเวียนอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งก็ถึงคิวเรา

ผมรู้สึกว่าผมเกิดมาในครอบครัวที่ดีมาก ๆ เลยนะ เป็นครอบครัวฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยมากอะไร แต่ก็ไม่ขัดสนข้นแค้น มีบ้านอยู่ริมถนน จะเข้าจะออกก็ได้รับความสะดวกสบายมากมาย  อยู่ในแหล่งชุมชนที่ดี มีร้านค้าขายขนมไว้บริการไม่เคยขาด คนในครอบครัวก็ล้วนแต่มีสุขภาพที่ดี และพวกเราก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือยอะไร ก็อาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่มากนัก เราไม่ได้ประหยัดจนชีวิตรู้สึกว่าเป็นทุกข์นะประมาณนั้น การมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงกันทุกคนนั้นถือเป็นเรื่องที่วิเศษสุดของครอบครัวเลยทีเดียว จะมีอะไรดีไปกว่าการมีสมาชิกครอบครัวที่แข็งแรงสมบูรณ์คงไม่มีอีกแล้วหล่ะครับเชื่อผมเถอะ

ในส่วนตัวผม ผมเกิดมาเป็นบุคคลที่มีความสามารถเด่น คืองี้ผมมองว่าคนเราเกิดมาจะมีแบบเป็นพวกธรรมดาคือสามารถทำอะไรก็ได้ ปรับตัวได้ไม่ได้เจาะจงกับอะไรสักอย่างหนึ่ง   กับคนที่มีสามารถเด่น คือทำได้ดีอยู่อย่างเดียว อืมเหมือนกับร่อนหินหน่ะแหล่ะ คนธรรมก็จะเหมือนกับก้อนหินกลม ๆ เวลาเข้าตระแกรงร่อนพวกหินก้อนกลมจะต้องเป็นก้อนใหญ่ ๆ จึงจะไม่ผ่านตระแกรง  แต่คนอีกพวกเป็นหินแบบไม่กลม ก้อนไม่ใหญ่แต่ก็สามารถที่จะติดตระแกรงได้ เพราะรูปร่างประหลาดกว่าคนอื่นเขา  พอจะมองเห็นภาพไหม ผมไม่ใช่พวกก้อนใหญ่ แต่ผมก็ติดตระแกรงได้  ผมเป็นพวกหลังนะ ความสามารถผมไม่ได้เหนือล้ำกว่ามนุษย์จนเรียกว่าอยู่อันดับต้น ๆ แรก ๆ แต่มันก็เด่นในความสามารถทั้งหมดที่ผมมีที่จะทำให้ผมสามารถหาเลี้ยงชีพได้อย่างไม่ลำบากนัก

ผมดูคะแนนสอบ O-NET ของหลาน เป็นลูกของพี่ชายข้างบ้านแล้วก็รู้สึกใจหาย เพราะคะแนนหนูห่างกับคะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนไปทางน้อยเสียเยอะแยะหลายวิชา (ความจริงทุกวิชาเลยหล่ะนะ) เลย แต่โรงเรียนหลานผมก็เป็นโรงเรียนเด็กเก่ง เหลือบไปเทียบกับทั้งประเทศ ซึ่งคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า ก็พบว่าหลานผมก็ต่ำกว่าอยู่ดีอีก ...  ผมเรียนปานกลางค่อนไปทางดี แต่น้องสาวผมนี่เรียนเก่งขั้นเทพเลย  ผมก็มานั่งดู ก็พบว่าผมเกิดมาบนความโชคดีอีกอย่างหนึ่ง คือผมมีแม่ที่เรียนเก่ง (แม่เล่าให้ฟังว่าสอบเป็นที่หนึ่งของชั้นจนถึง ป.4 ที่ป่วยแล้วก็คะแนนตกลงไม่เก่งอีก) นั่นเป็นส่วนหนึ่ง จริง ๆ แล้วในใจลึก ๆ ผมว่าผมอยากจะยกเครดิตให้พ่อนะ พ่อผมเป็นช่างตัดผม ... อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ ช่างตัดผม ? แล้วมันเรียนเก่งอย่างไร ?  สมัยตอนเด็ก ๆ เราเคยเห็นว่าถ้าเป็นพวกลูกครู ลูกหมอ พวกนี้จะเรียนเก่งเป็นที่ 1 ที่ 2 ของชั้นตลอด ผมมองแบบนี้ครับจริง ๆ แล้วเด็กจะอ่านหนังสือได้อย่างไรถ้าพ่อแม่พวกเขาไม่อ่านหนังสือ  พ่อผมเป็นช่างตัดผม แกรับหนังสือพิมพ์ทุกวัน พอยามว่างไม่มีคนมาตัดผมก็จะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ผมว่าตรงจุดนี้แหล่ะที่ทำให้ ผมเหมือนเกิดมาเป็นลูกครู เพราะเราเห็นพ่อแม่เราอ่านหนังสือ ผมนั่งดูเด็ก ๆ ที่เป็นหลาน ๆ ของผม ผมเห็นความแตกต่างอยู่ข้อหนึ่งคือสิ่งที่เราซื้อ ผมเริ่มซื้อการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เพราะว่าผมขอเงินพ่อแม่ไปซื้อนั่นเอง แต่พอไปมองหลาน ๆ แล้วหนังสือที่มีอยู่ ไม่มีหนังสือนอกเหนือจากหนังสือที่เป็นตำราเรียนเลย แต่ก็กลับแทนที่ด้วยอุปกรณ์เล่นเกมส์ที่มีหลากหลายสารพัดเป็นไปตามเทคโนโลยีสมัยนี้ พ่อเลิกตัดผมไปหลายสิบปีแล้วแต่ทุกวันนี้พ่อก็ยังรับหนังสือพิมพ์ทุกวันเหมือนเดิม แถมมากกว่าเดิมเพราะคอการเมือง
       แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าการเกิดมาเป็นลูกช่างตัดผมแล้วจะเรียนเก่งเสมอไปนะครับ ผมว่าแล้วแต่โชคด้วยหล่ะมั้งครับ จากการดู ๆ หลาย ๆ บ้าน  ผมตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ ส่วนใหญ่ของเด็กเรียนเก่ง ๆ มักจะมีพ่อแม่รับราชการที่ต้องนั่งอ่านหนังสือ นั่งอ่านหนังสือตอนทำงานหรือมีจิตใจที่รักการอ่านนะ แค่ส่วนใหญ่นะครับไม่ได้แปลว่าทั้งหมด ลองไปสังเกต ๆ ดูหลาย ๆ เคสครับ


โชคดีของผมอีกอย่างหนึ่งก็คือผมเป็นคนพอใจอะไรง่าย ๆ ความสุขของผมหาได้จากการกิน หรือนอน ก็เพียงพอแล้ว ของที่อยากได้ก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับห้ามใจไม่ได้ เช่นบางคนเห็นคนนั้นคนนี้มีของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็อยากมีบ้างตามเพื่อน บ้านนอกนี่ชอบนักชอบซื้อตามกันแบบว่าให้มีเหมือน ๆ เพื่อนบ้าน ผมก็ว่ามันจำเป็นด้วยเหรอเนี่ย เอาเป็นว่าผมไม่รู้สึกอายอะไรถ้าจะไม่มีของที่คนอื่น ๆ เขามีกัน  ของที่ผมมีเป็นเพราะผมอยากได้ ความอยากได้มันเกิดขึ้นจากในตัวผม ไม่ได้มาจากภายนอก เช่น คอมพิวเตอร์ ของเล่นพวกเฮลิคอปเตอร์บังคับ (ก็ผมจิตใจยังเป็นเด็กชายอยู่เลยครับ)  แต่ไม่ได้เป็นรุ่นอาชีพนะครับ รุ่นแบบตามความฝันสมัยเด็ก ๆ ที่มีรถบังคับแบบมีสาย ก็เป็นเฮลิคอปเตอร์แบบไม่มีสาย ... โอ้ ... การเกิดในยุคนี้ดีนะครับเนี่ย   และก็โชคดีที่ของเหล่านั้นราคาค่างวดไม่ได้แพงอะไร   แผ่นหนัง DVD แบบของแท้ อันนี้ก็ซื้อ ไม่ได้มีใครเป็นต้นแบบแต่เพราะเป็นคนชอบดูหนัง  ของที่ผมต้องการก็คือยู่ในวิสัยที่จะเก็บเงินซื้อได้ ไม่แพงมาก ผมจ่ายเงินน้อยมากเพื่อเอามาเติมความสุขของผม  ผมไม่ได้ต้องตามใครเพื่อให้มีเท่าคนนั้นคนนี้  โทรศัพท์มือถือปัจจุบันเป็นเครื่องที่ 4 แล้ว เครื่องแรกนี้เป็น TCL แม่ซื้อให้ตอนเรียนจบราคาพันกว่าบาท อันนี้ก็ใช้ได้อยู่พักหนึ่งแต่ก็นานอยู่จนมันรับคลื่นไม่ได้แล้ว อันนั้นชอบมากตรงที่เสามีไฟขึ้นเวลามีสัญญาณเข้ามา ต่อมาเป็น i-mobile รุ่นตอนนั้นคนฮิตมาก ๆ นะแต่ก็มีคนขโมยไป ใช้ได้ไม่นานโคตรเสียดายเลย  ต่อมาก็ Panasonic มั้งแบบฝาพับผมว่าสมัยก่อนเขาฮิตฝาพับนะ หรือเปล่าหว่า เครื่องนี้ก็เสียลักษณะเดียวกับเครื่องที่แล้วก็คืออยู่ ๆ ก็หาสัญญาณเองไม่ได้ ...  และก็มาเครื่องนี้ที่ใช้นานที่สุด Nokia (นั่นเอง) N72 จนถึงปัจจุบันนี้  ทุกครั้งที่ผมมอง N72 ผมรู้สึกภูมิใจ ในวันที่ผมกัดฟันซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้วันนั้นเป็นวันที่ได้เงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมมาก้อนหนึ่ง ราคา 7000 ด้วยความที่เป็นโปรแกรมเมอร์ ก็คิดเลยว่าโห ใช้ 2 ปี ก็ตกวันละ 10 บาท แต่ปัจจุบันก็ใช้มาเกือบ ๆ 5 ปีแล้วหล่ะมั้งจำไม่ได้ แล้วว่าซื้อเมื่อไหร่ แพงชะมัดเลย   และก็ภูมิใจอีกอย่างหนึ่งคือผมก็ชวนน้องสาวผมไปซื้อ ผมก็ซื้อให้น้องเครื่องหนึ่ง sony ericson สวยเลยหล่ะ 6500 มั้งถ้าจำไม่ผิด  ผมรู้สึกว่าผมภูมิใจนะ หลังจากนั้นก็ซื้อ Notebook ให้น้องอีกเครื่องหนึ่ง

ผมเป็นคนที่สมหวังในเรื่องแปลก ๆ ตอนปีสี่ผมเรียนจบผมคิดในใจว่า ผมอยากจะทำงาน อยู่กับเน็ต มีเน็ตแรง ๆ เร็ว ๆ ให้ได้ใช้เหมือนในมหาลัย (สมัยเริ่มแรกของ Internet เนี่ย เน็ตมหาลัยแรงสุดแล้ว เป็นอะไรที่ปลาบปลื้มมากช่วงนั้น ... ช่วงนั้นก็มีเกมส์ออนไลน์อย่าง Ragnarok เกิดขึ้นมา)  แล้วผมไปตีซี้สนิทกับอาจารย์ก็เลยได้สิทธิพิเศษในการนั่งแช่ในห้องมีเน็ตทั้งวัน มีแอร์ด้วย  ปัจจุบันมานั่งนึก ๆ ดูก็สมหวังนะ แต่ว่าเอ่อ ไม่มีแอร์แค่นั้น แต่ก็ไม่ได้เจอผู้เจอคนอีกต่างหาก ... ฮ่า ๆ ตลกดี

ตัวผมเองชัดเจนครับคือเหมือนกับเดินบนเส้นทางที่ไม่ได้โค้ง ไม่ได้ต้องเข้าแยกมากนัก คือเหมือนกับถูกลิขิตมาหรือเปล่าว่ามาทางนี้ ข้อดีของคนแบบผมก็คือไม่เสียเวลาค้นหา แต่ข้อเสียอาจจะเยอะหน่อย เช่นไม่ได้ประสบการณ์ที่หลากหลาย ชีวิตออกจะเงียบ ๆ เหงา ๆ ไปสักนิด เพื่อนก็น้อยคือตั้งแต่เรียนจบมา ผมก็แทบไม่ได้เจอคนรุ่น ๆ เดียวกันแล้วก็คุย ไปไหนมาไหนด้วยกันเลย นอนหอ ทุกวัน ไม่เคยไปค้างที่อื่น เพื่อน ๆ ก็แทบจะไม่ได้เจออีกเลย  สมัยเด็กผมรบเร้าให้แม่ซื้อคอมพิวเตอร์ให้เครื่องหนึ่ง  ตอนนั้นเป็นรุ่น Pentium 4 ไม่แน่ใจว่าควาถี่เท่าไหร่ น่าจะ 100 MHz มั้ง ผมเพิ่งจะมารู้ภายหลังว่าคอมพิวเตอร์ชุดนั้นหมดเงินไปเกือบครึ่งแสนเลยนะ แรมเม็กละ 1000 บาท แถวหนึ่งมี 4 Mb ก็ 4 พันบาท ( T T )  เดี๋ยวไว้ว่าง ๆ ไปเอา catalog ที่อยู่ที่บ้านเก่ามา scan ให้ดูประกอบ blog ดีกว่าจะได้รู้สึกว่ามีอะไร ๆ บ้าง    รวมโต๊ะ เครื่องพิมพ์ด้วย ... โอ้มายก็อต ... แต่แม่ผมก็บอกกับผมว่า แม่รู้สึกดีใจที่เงินที่เคยลงไปนั้นปัจจุบันก็เห็นแล้วว่ามันไม่ได้เสียเปล่า เพราะลูกชายก็ยังใช้ยังทำงานอยู่กับมัน จากคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็ทำให้ลูกชายได้ทำงานและมีคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่  ๆ ที่ซื้อด้วยตัวเองในภายหลัง  คอมพิวเตอร์เครื่องแรกถึงแม้ว่าปัจจุบันมันก็ซุกอยู่มุมไหนมุมหนึ่งในบ้านหลังเก่า หรือไม่ก็ขายไปแล้ว แต่มันก็ไม่ได้หายไปไหน
     ผิดกับคนบางคนที่ยังต้องค้นหาตัวเอง ค้นหาให้เจอว่าตัวเองอยู่กับสิ่งไหนแล้วมีความสุข บางคนก็ไม่สามารถหาได้เจอเลยทั้งชีวิตเลยก็มี  ผมเกิดมาปุ๊บเหมือนลิขิตไว้แล้วอย่างไงก็ไม่รู้ นับตั้งแต่ผมเรียนมัธยม ผมก็อยู่กับคอมพิวเตอร์มาตลอด จนมาถึงตอนนี้ก็ยังทำมาหากินกับเครื่องคอมพิวเตอร์นี่อยู่ และก็คิดว่ามันก็น่าจะเป็นอย่างเดียวแหล่ะนะที่ผมทำได้ดีกว่าอย่างอื่น

ด้วยอย่างนั้นทำให้ปีนี้เป็นปีที่พิเศษกว่าปีอื่น ๆ คือผมได้ตัดสินใจทำซอฟต์แวร์ขึ้นมาขาย ก็ดีครับคือทุกวันผมจะมานั่งเปิดบล็อกดูแล้วก็ดูว่าคนเพิ่มมาจากเมื่อวานกี่คน มันเป็นเหมือนความฝัน  ผมจึงคิดว่าผมโชคดีนะครับปีนี้ที่ผมมีความฝัน  ผมรู้ว่าผมอยากจะตื่นมาเพื่อทำงาน ทำความฝัน โปรแกรมที่ผมสร้างขึ้นผมก็เขียนต่อยอดขึ้นไปเรื่อย ๆ เขียนทุกวัน  ทำให้รู้สึกว่าปีนี้ไม่น่าเบื่อเหมือนปีก่อน ๆ และก็เป็นโชคดีถึงแม้ว่าผมจะพัฒนาโปรแกรมเกี่ยวกับโรงรับจำนำแต่ผมก็ไม่เคยลิ้มรสชาติของอาการเงินช็อต เงินขาดมือเลย และถึงแม้จะแก่ลง โรคอะไรที่ไม่เคยเป็นตอนเด็ก ๆ เดี๋ยวนี้ก็ได้เป็น มันเป็นเรื่องแย่ แต่ก็ต้องรับสภาพกับมันครับไม่ไปทุกข์กับมันมาก ผมเชื่อว่าคนที่มีความฝันนั้นเป็นเรื่องดี ตื่นมา ก็มีงานมีความมุ่งหมายที่จะทำ ผมแนะนำให้ลองดูครับ ระยะหลังมานี่ผมเข้าใจสัจจะธรรมอย่างหนึ่งคือ เรื่องของความสม่ำเสมอ สมมติคุณมีงานชิ้นหนึ่ง งานชิ้นนี้อาจจะต้องใช้พลังงานมาก ถ้าคุณใส่เข้าไปทีเดียวมันก็เหนื่อยครับ คุณต้องค่อย ๆ ใส่เข้าไปทีละน้อย ๆ ดังนั้นถ้าในวันหนึ่งคุณคิดว่าจะทำอะไร อย่าเห่อแค่วันเดียวแล้วเลิกไปครับ ค่อย ๆ ใส่พลังงานให้มันครับ อย่างโปรเจ็คที่ผมขายอยู่ ผมก็ไม่ได้เขียนวันเดียวเสร็จนะครับ มันคือการสะสมของพลังงานของผมเลยนะครับ ผมค่อย ๆ ใส่เข้าไป โชคดีที่มันคือความฝันของผม มันเลยเหมือนกับว่ามันไปสะสม โค้ดจากพันบรรทัด ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นหมื่นบรรทัด เป็นแสนบรรทัด โปรเจ็คส่วนใหญ่ที่ผมทำมาผมว่ามันเป็นการใส่พลังงานรวดเดียวก้อนใหญ่ ๆ เลย มันเหนื่อยครับ  มันอาจจะเสร็จทำกำหนด แต่มันไม่ได้ฝึกตัวเองเท่าไหร่นะครับ การทำอะไรอย่างสม่ำเสมอ รักษาไว้เป็น routine ให้ได้นี่สำคัญครับ ผมว่าเรื่องนี้ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ฝรั่งเขามีนะครับ  ผมก็คิดว่าผมยังไม่สายใช่ไหมครับที่จะฝึกความสม่ำเสมอให้กับตัวเอง

และถ้าคุณเกิดมาเพื่อเครื่องคอมพ์แล้วหล่ะก็โชคดีของผมอีกอย่างหนึ่งก็คือเกิดในยุคนี้ ยุคที่มีคนอย่าง Bill Gates, Steve Jobs นักวิชาการคอมพิวเตอร์อีกหลาย ๆ คน คือผมรู้สึกว่าผมได้เกิดร่วมยุคกับไอดอลของผม เสียดายที่ Steve Jobs ตายไวไปหน่อย ผมว่าถ้าแกอยู่เราคงต้องอึ้งกิมกี่กับอะไรหลาย ๆ อย่างของแกนะ อีกคนที่ผมก็นับถือเป็นไอดอลของผมก็คือ Chris Sawyer คนออกแบบเกมส์ ผมรู้จักตอนเล่นเกมส์ Transport Tycoon ในสมัยนั้นเกมส์นี้ก็เป็นอีกเกมส์ที่เล่นได้เพลิน ๆ ภาพสวย ปัจจุบันมีคนที่รักและชอบเกมส์นี้เหมือน ๆ กับผมก็ทำมาเป็น Open Transport Tycoon Deluxe มาให้โหลดเล่นฟรีกันด้วย ถ้าจะถามผมว่ามีเกมส์ไหนบ้างที่อายุยืนจากวันนั้นมาถึงวันนี้ผมว่าน่าจะเกือบ ๆ 20 ปีนะ ยังมีคนเล่นอยู่ น่าจะเป็นเกมส์นี้แหล่ะ ไปหาโหลดกันได้ที่ http://www.openttd.org

ผมก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันนะตั้งแต่เราเริ่มมีเครื่องเล่นเกมส์ console พวกตระกูล Famicom แล้วก็ขยับ ๆ ขึ้นมาเป็น Home Computer คือก็ยังเกิดทันตั้งแต่ยุคโทรทัศน์ขาวดำ ไปจนถึงพวกหน้าจอจิ้มได้ การเชื่อมต่อ การพูดคุยที่สามารถทำได้ง่ายได้เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือสักเครื่อง แทบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ ถ้าเป็นยุคก่อนหน้าผมเขาก็คงไม่มีใช้กัน  ผมว่าเทคโนโลยีในยุคผมมีชีวิตอยู่นี้ น่าทึ่งมาก ๆ แล้วหล่ะนะ เราสามารถมีชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย เข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่าย ๆ เลย อย่างเช่นคุณอยากจะเลี้ยงปลาทอง  อยากจะทำกับข้าว อยากจะทำขนม มีคนสอนคุณหมด สุดยอดไหมหล่ะความโชคดีที่เกิดมาทันในยุคนี้

ความโชคดีของผมก็มีอีกอย่างครับ เจอเพื่อนร่วมงานที่ดีนะ เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดี แต่ไม่สนใจเรื่องผู้ชายเรื่องความรักเสียเลย ผมเคยขอเขาแต่งงาน แต่ก็โดนปฏิเสธกลับมา เราเจอกันตัวเป็น ๆ แค่ครั้งเดียวเอง โดยส่วนใหญ่แล้วเราก็คุยกันผ่าน skype แม่ผมชอบเขามาก ผมเชื่อว่าถ้าได้คนนี้มาเป็นลูกสะใภ้แม่คงเหมือนย่า ที่ตอนที่หลงจำทุกคนไม่ได้แล้วก็จะจำได้แต่แม่ของผม ซึ่งเป็นลูกสะใภ้คนโปรดของย่าเพียงคนเดียว (ขนาดชื่อลูกชายยังจำไม่ได้ แต่จำชื่อแม่ผมได้ ก็คิดดูหล่ะกัน) ปัจจุบันผมทำงานร่วมกับเธอมาประมาณ 7 ปีได้แล้วมั้งครับ เลิกล้มความคิดที่จะแต่งงานไปแล้ว