ในที่นี้ผมจะอ้างอิงคำสั่งหรือโค้ดจากการใช้เครื่องมือการเขียนโปรแกรมที่เรียกว่า Turbo C ซึ่งมันเป็นตัว Editor ที่ค่อนข้างจะเก่ามาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็น DOS (Disk Operating System) นั่นแหล่ะ สมัยนั้นเปิดเครื่องมาเราก็จะได้หน้าจอสีดำพร้อมกับเครื่อง A:\> (อันนี้ก็เก่าไปหรือเปล่า สมัยก่อนเครื่องคอมพ์จะไม่มี Hard Disk มานะครับ สมัยโน้นเลยจอยังเป็นตัวอักษรสีเขียว พื้นสีดำ ไม่มีกราฟฟิคใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่อยากจะบอกว่าเม้าส์ยังไม่มีเลย) พอถัดมา Hard Disk เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเวลาบูทเครื่องเสร็จปุ๊บ เราก็จะได้เครื่องหมาย C:\> หน้าตาประมาณดังรูปแต่มันจะเป็นแบบ Full Screen เลย
พอจะเข้า windows ซึ่งตอนนั้นก็ Windows 3.11 ก็พิมพ์ไปเลยครับว่า win อันนี้ย้อนความหลังไปไกลหน่อย อิอิ ไม่ว่ากันนะ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครื่องต้องเริ่มใส่ Hard Disk ในยุคนั้นผมว่าโดยหลัก ๆ เลยก็คือเจ้าโปรแกรม Window 3.11 นี่แหล่ะ ซึ่งภายหลังก็วิวัฒนาการเป็น OS (Operating System) ก็คือ Windows 98 > Windows Me > Windows XP > Windows Vista > Windows 7 > Windows 8 ในปัจจุบัน
Windows 3.11 มันไม่สามารถที่จะเรียก หรือเปิดจากแผ่นได้แล้วเพราะขนาดมันใหญ่กว่า 1.44 Mega Byte สมัยนั้น Hard Drive ขนาด 100 MฺB ก็เรียกได้ว่าเยอะมากเลย สมัยก่อนไม่มีอินเตอร์เน็ต การจะหา software อะไรทีนั้นทำอย่างไร ? ก็สั่งซื้อทางไปรษณีย์ไงครับ ผมจำได้เลือนลางว่ามันจะมี catalog เป็นกระดาษมาเลยนะ จำชื่อไม่ได้แล้วว่าเขาเรียกชื่อว่าอะไร นั่นคือที่มาสำหรับการหา software ในสมัยนั้น สมัยที่ซึ่งมีแต่แผ่น Floppy ได้มาแผ่นหนึ่งก็ DiskCopy A: B: , DiskCopy A: A: กันใหญ่เลยทีเดียว บางเครื่องมี Drive เดียว ต้องใส่แผ่น Source ลงไปก่อน เครื่องก็จะอ่านข้อมูลจากแผ่นตั้งแต่ sector แรก ไปเก็บไว้ที่ Memory แล้วมันจะให้ใส่ Destination Disk ทำวน ไปวน มาจนเสร็จ จำนวนรอบของการชักแผ่นเข้า แผ่นออก ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ Memory ในเครื่องนั้นเลยหล่ะ จำได้ว่าเครื่องสมัยนั้นจอเขียว แรม 2 MB นี่ก็เทพแล้ว ฮ่า ๆ ๆ (เวลามันผ่านไปไวจริงน้อ ....) ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขียนโปรแกรมหรอก แค่อยากเล่าประสบการณ์วัยเด็กให้ฟังหน่ะนะ อิอิ
ผมขอเรียกไอ้หน้าจอดำ ๆ ข้างบนนั้นว่า Command Console ซึ่งสามารถเรียกได้จาก Start > Accessories > Command Prompt
วิธีการเปิด Command Console จาก Windows XP |
ซึ่งใน Windows ใหม่ ๆ หรือถ้าหาไม่เจอ เราสามารถสั่งจาก run command ได้
จากนี้เราพักเรื่อง Command Console ก่อนนะครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทีนี้เราก็ไปหาโปรแกรม Turbo C มาลง การลงนั้นง่ายมาก โดยมากแล้วเราจะเจอกันในรูปแบบของ .zip หรือพวก .rar พวก Compress Files เราก็แตกไฟล์ออกมา โดยปกติแล้วไฟล์ที่แจก ๆ กันมานั้น การตั้งค่าของ Turbo C แรกเริ่มมักจะเป็นการตั้งค่าในรูปแบบให้ทำงานอยู่ใน Drive C นะครับ
อันนี้ผมได้ไฟล์เป็นแบบ self extractor ก็คือไฟล์ที่แตกออกมาได้โดยที่ระบบ windows ไม่ต้องติดตั้ง โปรแกรม WinZip หรือ WinRAR |
Download Turbo C.exe
อย่าลืมว่าในเบื้องต้นอยากจะให้แตกไฟล์ไว้ที่ Drive C ก่อนนะครับ หัวใจสำคัญก็คือมี folder ชื่อ TC อยู่ใน Drive C นะครับ |
เมื่อเข้ามาหน้าจอของ Command Console แล้วให้พิมพ์คำสั่ง cd\tc (ซีดีแบ็คสแลชทีซี) จากนั้นกด Enter |
คำว่า Directory ก็คือ Folder นั่นแหล่ะ แสดงด้วย Icon รูปแฟ้มเฉย ๆ การทำคำสั่งด้วยคีย์บอร์ดนั้นมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือสามารถสั่งงานได้ทีละหลาย ๆ คำสั่ง ไม่ต้องพึ่ง UI (User Interface) พูดง่าย ๆ ก็คือ เหมือนกับเลือกเส้นทางในการทำงานต่างกันแต่ก็ได้ผลเหมือนกัน
สรุปง่าย ๆ เลยก็คือพวก command พวกนี้ก็จะมีลักษณะเป็นคำสั่งที่เราใช้ป้อนด้วยคีย์บอร์ด แทนที่เราจะป้อนข้อมูลด้วยการลากเมาส์ไปคลิ๊ก ๆ ที่ folder นั่นแล
จากนั้นก็เข้าไปใน Directory อีกตัวหนึ่งก็คือ bin เข้าได้โดยการพิมพ์ cd bin ซึ่งอันนี้จะเป็นการเข้าโฟลเดอร์ ที่อยู่ใน folder ปัจจุบัน (C:\TC) ที่ไม่มี \ (Back Slash) เพราะว่าเราไม่ได้เข้า folder bin ที่อยู่ใน root แต่เราเข้า folder bin จาก C:\TC นะ พิมพ์คำสั่งแล้วกด enter ด้วยนะครับ
ที่ซึ่งจะมีตัวรันเป็นตัว editor อยู่ และยังมีไฟล์ที่สำคัญอื่น ๆ ด้วยเช่นพวก compiler , linker |
Command Dialog ของเราก็จะไปเรียกตัวที่ทำหน้าที่เป็น IDE ขึ้นมา ...... คำว่า IDE ย่อมาจาก Integrated Development Environment
คือขอท้าวความไปถึงการเขียนโปรแกรมในสมัยก่อน ๆ นี้ว่า หรือบางทีคนที่เขียนโปรแกรมบน linux คือเวลาเราทำงานด้านการเขียนโปรแกรมนั้นเราจะมีขั้นตอนหลัก ๆ อยู่ก็คือ
1. สร้างไฟล์ซอร์สโค้ด (Source Code) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วกระบวนการนี้ก็คือสร้างไฟล์ที่เก็บข้อความนั่นแหล่ะ เป็นชนิด Text File (การเป็น Text File ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องมีส่วนขยาย-File Extension เป็น .txt นะครับ แต่เราดูกันที่เนื้อหา การเข้ารหัสของไฟล์ว่าเข้ารหัสแบบไหนไว้ Text File ถือว่าเป็นไฟล์ที่ค่อนข้างจะ simple ที่สุดแล้วหล่ะครับ หมายถึง รูปแบบการจัดเก็บง่าย เก็บภาษาที่มนุษย์สามารถอ่านออกได้โดยที่ไม่ต้องไปแปลความหมายอะไรเพิ่ม ประมาณเปิดมา มนุษย์ก็อ่านได้เลย โดยเฉพาะผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษนะครับ)
2. นำไฟล์ Source โค้ดที่ได้จาก ขั้นตอนแรก ไปทำการ Compile การ Compile หมายถึง การตรวจโดยใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Compiler ว่าเขียนคำสั่งใน Source Code นั้นได้ถูกต้องหรือไม่ มีผิดตรงไหนไหม โดยมากแล้ว Compiler ก็จะเหมือนเครื่องมือในการตีความคำสั่งต่าง ๆ ที่อยู่ใน Source Code นั่นแหล่ะ เป็นการตรวจ โครงสร้างของคำสั่ง อะไรพวกนี้ ซึ่งบางทีมนุษย์เราก็จะพิมพ์ผิดบ้าง ผิดหลักบ้าง เหมือนเด็ก ๆ ที่พูดสลับกันคือถ้าเราคุยกับมนุษย์ด้วยกัน เจอคนพูดผิดหรือสลับ เราก็ยังพอจะรู้ความหมาย แต่การทำงานกับคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องเป๊ะ ๆ ตามแบบแผนที่เขาวางเอาไว้เลยครับ ถ้าพิมพ์อะไรก็ได้อย่างที่อยากพิมพ์ ก็จะไม่สามารถผ่านขั้นตอนการ Compile นี้ไปได้ อะไรประมาณนี้
แบบแผนที่เขาวางเอาไว้ก็หมายถึงเช่น เรากำลังเขียนภาษาซี เราก็จะต้องมีการเขียนให้ถูกต้องตามโครงสร้างของเขาเช่น จบคำสั่งต้องปิดด้วยเครื่อง ; (semi colon) นั่นก็ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของแต่ละภาษา เหมือนถ้าเราจะพูดภาษาไทย คำว่า ลูกบอลสีแดง ก็เท่ากับคำว่า Red Ball ไม่ใช่ Ball Red แบบนี้เป็นต้น
3. นำไฟล์ที่ได้จากข้อ 2 ไปทำ link เพื่อทำให้เป็น executable file ไฟล์ที่สามารถที่จะทำงานได้ ก็ต้องเป็นไฟล์ที่สามารถ executable ได้ ดังนั้นเราจะเห็นผลลัพธ์ของขั้นตอนที่ 1 ก็ในขั้นตอนนี้ โปรแกรมจะรันได้ถูกต้องตามความต้องการ ตามโจทย์ที่กำหนดให้หรือไม่ ก็จะได้เห็นในขั้นตอนนี้
ซึ่งการเป็น IDE ก็คือการรวมขั้นตอนทั้งสามข้อมาอยู่ที่เดียวกัน เรียกได้ว่าเป็น one stop service เลย ที่เดียวทำได้ทุกอย่างประมาณนั้น เหมือนที่หน่วยราชการของเราก็พยายามทำกันมานานแล้ว ไม่ต้องวิ่งไปแจ้งความที่โรงพัก เอาบันทึกประจำวันจากโรงพักไปอำเภอ ไปทำบัตรใหม่ อะไรพวกนี้ แล้วทำไมจุดรับแจ้งทำบัตรหายถึงไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่ง ทำปุ๊บออกบัตรได้เลย ประมาณนั้นแล ความหมายของ IDE - Integrated Development Environment
หน้าตาของ Turbo C++ |
สำหรับการใช้งานก็อาจจะยุ่งยากสักเล็กน้อยสำหรับเด็กที่เกิดไม่ทัน DOS นะครับ แต่ในสมัยนั้นนี่ถือว่าเยี่ยมมากแล้วหล่ะนะ ลองใช้คำสั่ง Help > About ดู สำหรับคีย์บอร์ดก็กดแป้น Alt + H (หมายถึง กดแป้น Alt ค้างไว้ แล้วกดปุ่ม h, ปล่อย h, ปล่อย Alt) แล้วใช้ cursor key เลื่อนไปที่ About ดู
หน้าจอของ Help > About |
ข้อดีของ ภาษาซี คือมันจะไปคล้าย ๆ กับ พวก Java , PHP ซึ่งเป็นสองภาษาใหญ่ที่มีคนนิยมใช้กันเยอะ ดังนั้นเขียนภาษาซี ได้ไปเขียน Java ก็จะง่ายขึ้น หรือพอจะไปทำเว็บด้วย PHP เราก็จะเห็นว่า มันเขียนไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ มีกลิ่นคล้าย ๆ กัน
ข้อดีของ Turbo C ก็คือเราสามารถเขียน ภาษาซี แบบธรรมดาก็ได้ หรือจะเขียนแบบเชิงวัตถุหรือที่เรียกว่า Object Oriented Programming (OOP) ก็ได้ แต่บล็อกผมน่าจะอิงแบบ ซี ธรรมดา นะครับ ณ จุดนี้
อีกอย่างหนึ่งก็คือมันมี help ที่รวบรวมคำสั่งให้เราเปิดดูได้ด้วย อันนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เขียนโปรแกรมยังไม่ชำนาญ ยังงงอยู่ว่าคำสั่งนี้ใช้งานอย่างไง ไปที่ เมนู Help > Index
ศูนย์รวมคำสั่งต่าง ๆ ที่เราสามารถเข้าไปอ่านได้ อ่านวิธีการใช้งานของแต่ละคำสั่งได้ |
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำงานจะเป็นลักษณะของ MDI - Multiple Documents Interface ก็คือเปิดไฟล์ได้ทีละหลาย ๆ ไฟล์ เหมือนการทำงานเป็นแบบหน้าต่าง ซึ่งอันนี้ก็โคตรจะเท่ห์ในสมัยก่อน แต่เดี๋ยวนี้เชยบรม ฮ่า ๆ ๆ มันก็ไม่ถึงกับเชยหรอกนะ ผมก็พูดเว่อร์ไปหน่อย แต่ว่ามันเป็นฟีเจอร์ (Feature) ที่ใคร ๆ ที่ทำโปรแกรมพวก Text Editor เขาก็มีกันทั้งนั้น ยกเว้น Notepad
เราสามารถปิดหน้าต่างได้ด้วยการคลิ๊กที่รูปสี่เหลี่ยมสีเหลืองที่อยู่ตรงมุมบนซ้าย อยู่แถว ๆ ด้านล่างของคำว่าไฟล์เห็นไหม ? หรือจะกดแป้น ESC ก็ได้
ทีนี้เวลาเราจะเริ่มเขียนโค้ดก็ต้องสร้างไฟล์ใหม่ขึ้นมาก่อนไปที่ File > New หรือกด Alt + FN (กด Alt ค้างไว้, กด F, ปล่อย F, กด N, ปล่อย N, ปล่อย Alt -- เหมือนสอนกด combo ในเกมส์เลยน้อ)
เมื่อเลือกคำสั่ง File > New ก็จะมีหน้าต่างสำหรับเขียนโปรแกรมขึ้นมาให้ได้เล่นกัน |
ลอง Compile ดูเล่น ๆ ครั้งแรก จะเห็นได้ว่า Compile ผ่าน |
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
การตั้งค่าอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
หากว่าไม่ได้ลงใน Drive C: ตามที่บอกไว้ข้างต้นแล้วหล่ะก็ ก็จะต้องมาเ็ซ็ต Directory ที่จำเป็นต้องใช้ให้ถูกต้องด้วย โดยการไปที่ เมนู Options > Directories...
เมื่อเข้าสู่เมนู Options > Directories... ก็เริ่มทำการเซ็ตค่าของ Folder TC ที่ติดตั้งไว้ในเครื่องได้เลย ในภาพเราติดตั้งไว้ที่ Drive C:\TC แล้วจึงไม่ต้องทำการปรับเปลี่ยนค่าใด ๆ |
การตั้งค่าให้กับ Editor เนื่องจากเวลาเราเขียนโปรแกรมเราจะเขียนในหน้าจอของ Editor หน้าจอที่มี background สีน้ำเงิน นั่นแหล่ะครับ ในปัจจุบันคุณสมบัติที่ดี ๆ ของ IDE คือการช่วยผู้เขียนโปรแกรม หรือผู้สร้างโปรแกรม ให้มีการพิมพ์ผิดพิมพ์ถูกน้อยที่สุด ในสมัยโน้นเราใช้ Syntax Highlight ครับเป็นตัวช่วยบ่งบอก สมัยนั้นยังไม่มีพวก Code Completion แบบพิมพ์ไปแล้วมีคีย์มาให้เราเลือก เอาเป็นว่าข้ามไปก่อน หน้าจอที่แสดงด้านล่างคือการ setting ค่าที่เกี่ยวข้องกับ editor ครับ
การตั้งค่าให้กับ Editor |
การออกจากโปรแกรม Turbo C
ไปที่เมนู File > Quit |
ซึ่งเราสามารถสั่ง Save หรือ Load ได้จากเมนูไฟล์นี่แหล่ะครับ
หลังจากออกมาแล้วก็จะออกมาที่หน้าต่าง Command Prompt อีกครั้งแต่อาจจะเละ ๆ นะครับ ไม่ต้องสนใจครับพิมพ์คำว่า exit เพื่อปิดหน้าต่าง Command Prompt ครับ
พิมพ์คำว่า exit ตัวที่ขีดเส้นใต้นะครับ คือบรรทัดมันจะย้อนกลับไปด้านบน พิมพ์โดยไม่ต้องสนใจคำอื่น ๆ ครับ |
สรุปก็คือ การใช้ Turbo C ซึ่งเป็น IDE ในการเขียนโค้ดจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้เขียนมาก ถึงแม้ว่ามันออกจะเก่าไปสักเยอะ มี IDE ตัวอื่น ๆ ให้เลือกใช้มากมายในปัจจุบัน อย่างเช่น DEV C อันนี้ก็นิยมกันมากสำหรับเด็กยุคใหม่ ๆ ที่ห่างไกลจากจอ DOS ไปแล้ว ไม่เป็นไรครับก็ยังคงหลักการเดียวกันครับ ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษาซีเหมือนกัน แค่เครื่องมือที่ใช้นั้นแตกต่างกันไป ตอนหน้าผมก็อาจจะมีตอนแทรกนิดหน่อยเรื่องของการเซ็ต Edit Plus ให้ Compile Turbo C จะได้ไม่ต้องเข้า DOS ด้วยนะครับ แต่ไม่รู้ว่าจะได้อัพโหลดขึ้นวันไหน ผมนี่เถลไถลมากเลยครับกว่าจะเสร็จแต่ละตอน ๆ แต่ก็หวังว่าสักวันก็คงจะได้เนื้อหาที่ครอบคลุมประมาณหนึ่งนะครับ
พบกันใหม่ตอนหน้าครับ .
อ่านเข้าใจง่ายดีครับ
ตอบลบเราก็พั่งเรียนปี1งงมากเลยทพอะไรไม่เป็นอะไรเป็นเลยครับถีงจะมีลูกเล่นหรือกราฟฟิกเข้ามาเรายังไม่แข็งแรงเท่าไหร่~~เศร้าใจ
ตอบลบ