ก่อนจะไปสู่เนื้อหลักของบทความ ก็ต้องบอกว่าควรเข้าไปอ่านข่าวนี้ก่อน
ข่าวรถหาย
ผมคือเจ้าของหรือผู้ดูแลหอพักนี้เองแหล่ะนะ วันนั้นเป็นคืนของวันพฤหัสเข้าวันศุกร์ ทุกอย่างก็ดูเหมือนปกติ เหมือนที่เคยผ่านมาตลอด 10 กว่าปี อย่างน้อยก็ในช่วงของวันพฤหัสบดี ในคืนนั้นราว ๆ ตีสอง ผมก็ยังไม่ได้นอนปกติก็นอนช่วงตี 2 - ตี 4 อยู่แล้ว ในช่วงนี้ เวลาชีวภาพในตัวของผมมันก็สับสนเล็กน้อย ยังเคยคิดกับตัวเองเลยว่า โหเมื่อก่อนตี 2 นี่ตัวต้องอยู่บนที่นอนแล้วนะ แต่ทำไมเดี๋ยวนี้นอนตีสี่ ตื่น 10 โมง ก็รู้สึกอาย ๆ เหมือนกันที่ต้องมาเปิด office เวลา 10 โมงเช้า
แต่ในเหตุการณ์ปกติของหอพักขนาดผมที่ว่านอนช้าแล้ว ก็ยังแพ้พวกเด็ก ๆ ที่อยู่ในหอ ตีสาม ตีสี่ ยังมีเสียงเดินขึ้นบันไดบ่อย ๆ คือน้อยวันที่จะไม่ได้ยินเสียง ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงในใจก็จะคิดว่า โห ดึกขนาดนี้ยังมีคนเดินขึ้นเดินลงหอพักอีกเหรอวะเนี่ย ... คือมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับชาวกรุง แต่ชาวเพชรบุรีเนี่ย สองทุ่มร้านรวงก็ปิดหายกันไป 95% แล้ว ไม่มีใครอยู่ดึกขนาดนั้นหรอก
ย้อนกลับมาในคืนนั้นมันมีเหตุการณ์เพิ่มเติมคือ ช่วงตีสอง ผมเห็นว่าเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ที่เปิดให้บริการหน้าหอพักยังทำงานอยู่ ผมก็เดินไปดูเพราะได้ยินเสียงของเครื่องซักผ้าทำงาน ด้วยใจที่คิดว่าโหซักผ้าดึกขนาดนี้ใครวะ แต่ในใจก็คิดถึงคน ๆ หนึ่งแล้วหล่ะ ในหอพักมีน้องคนหนึ่งชื่อ"น้องซิน"
น้องซิน ปกติจะไม่ค่อยได้อยู่หอนี้หรอก หอนี้เอาไว้บังหน้า ปกติจะไปอยู่ ไปนอนที่อื่น เช่าหอไว้ให้ดูว่าสวยใสเวลาพ่อแม่มาเยี่ยม มาหาแหล่ะนะ น้องซินนี่ชอบแอคทีฟเวลากลางคืนประจำ คือจะเสียงดัง ๆ หน่อย ถ้าน้องซินเลือกที่จะนอนที่หอในคืนนั้น น้องซินอยู่ชั้นสามแต่ถ้าเงี่ยหูฟังดี ๆ ก็จะพอได้ยินเสียงเพลงแว่ว ๆ ลงมาได้ไม่ยากในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ความดังของน้องซินในเวลาค่ำคืนนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะว่าเขาพักอยู่ในโซนเพื่อนของเขา คือถ้าเสียงดังก็คงเคลียร์กันได้ ไม่มีปัญหาอะไรผมก็โอเคโดยกลาย ๆ ก็ยอมรับได้ แต่จริง ๆ ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นหรอก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องซินเลือกจะซักผ้าหยอดเหรียญในเวลาตีสอง น้องซินอยู่กับผมมาราว ๆ 2 ปี ถึงแม้ว่าตู้หยอดเหรียญจะเพิ่งตั้งมา 1 ปี วีรกรรมของน้องซินก็นอกจากจะซักผ้าตีสอง ผมเคยเจอราว ๆ 2 ครั้ง ก่อนหน้าคื่นนี้ที่กำลังจะมีเหตุเกิด และยังเป็นผู้ต้องสงสัยในเรื่องของผ้าใครในเครื่อง คือทิ้งผ้าไว้ในเครื่องไร้การหยอดเหรียญ ไว้สองวันสองคืน จนผมต้องล้วงออกเพราะเห็นว่าไม่เห็นมีใครมาซักมาเป็นเจ้าของ ผมล้วงออกแล้วเอาใส่ถุงพลาสติก วางแถว ๆ นั้น เวลาล่วงเลยไปอีกสองสัปดาห์ไม่มีใครมาเก็บ มาเอาไป ผมก็เลยต้องทิ้ง เอาเป็นว่านิสัยน้องซินก็จะประมาณนี้
กลับมา ผมก็จะปิดหอ คำว่า "ปิดหอ" ก็หมายถึงว่าผมจะเอากุญแจคล้อง ที่ประตูทางเข้าออกหลัก ก็คือประตูที่จอดรถนั่นแหล่ะ แล้วก็คล้องด้วยแม่กุญเจคนภายนอกจะเข้าได้ยากหน่อยเพราะต้องจัดการกับกุญแจที่คล้องด้านใน ถ้ามีทักษะก็จะไม่ยากอะไร การจะทำอะไรแบบนี้ไม่ว่าจะมีทักษะหรือไม่มีจะส่งเสียงเบา ๆ เสมอ จะได้ยินแหล่ะถ้าผมนั่งอยู่ในออฟิศที่ปิดทำการแล้ว แต่ยังไม่นอนนี่จะรู้เลยว่ามีคนกำลังจะเข้าหอ ....... แต่คืนนั้นหลังจากที่ได้ยินเสียงเครื่องซักผ้าทำงาน ผมก็เดินไปชะโงกดูหน่อย ก็เห็นว่ามีการซักผ้า ซึ่งผมก็คิดว่ามีอยู่เจ้าเดียวแหล่ะในหอที่จะทำอะไรแบบนี้ (ซึ่งก็ไม่ผิดภายหลังมาไล่ดูกล้องวงจรปิดก็พบว่าน้องซินมาเอาผ้าตอนตีสี่)
ผมก็เลยตัดสินใจแค่ปิดประตูไว้แต่ไม่ได้คล้องกุญแจ เพราะคิดว่าเดี๋ยวไอ้ซินก็คงลงมาเอาผ้า (คือถึงแม้ว่าผ้าจะซักเสร็จ แต่ซินก็ลงมาเอาช้า ... บอกตรง ๆ ในใจยังคิดว่าไอ้ซินจะต้องลงมาเอาตอนเช้าหล่ะมั้ง ... แต่กระนั้นผมก็เลือกที่จะไม่ล็อกประตู เพราะเดี๋ยวไอ้ซินก็ทำเสียงดังอีกตามนิสัยของเขาหล่ะ)
ผมบอกตรง ๆ ว่าผมไม่ได้ประมาทนะ แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวถ้าไอ้ซินเดินลงมา ผมก็คงได้ยินแล้วเดี๋ยวค่อยไปคล้องกุญแจก็ได้ เพราะผ้าซักเหมือนจะนานแล้ว แล้วผมก็ตั้งใจจะนอนช่วงตีสาม คือผ้าซักกับตู้หยอดเหรียญนี่ก็ประมาณชั่วโมงหนึ่ง คือถ้าซินลงมาเอาผ้า ผมก็ค่อยไปคล้องกุญแจ ก็ด้วยความหวังว่าจะได้ยินเสียงหล่ะนะ และการลืมคล้องประตูนี่ก็ไม่ได้เป็นครั้งแรก ในหนึ่งปีอาจจะมีลืม ๆ ประมาณ 3 - 4 ครั้ง ราว ๆ นี้ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรด้วย กล้องวงจรปิดเราก็มี ตั้งแต่ไม่มีกล้องวงจรปิด ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็สงบมาตลอดไม่เคยเกิดเรื่อง เคยมีเรื่องรถหายครั้งหนึ่งเมื่อราว ๆ ปี 50 - 51 จำไม่ได้เป๊ะ ๆ แต่ตอนนั้นก็ได้รถคืน รายละเอียดอาจจะมีกล่าวถึงนะครับ
ในตอนนั้นก็จบลงตรงที่ผมเข้านอนแล้วก็ไม่ได้คล้องประตูนั่นแหล่ะ ผมจำได้ว่าคืนนั้นมีเหตุการณ์แปลก ๆ อีกก็คือว่า เด็กประมง วิ่งขึ้นวิ่งลงตอนตี 5 ครึ่ง จนผมไม่ได้นอน ผมต้องออกไปดูว่าใครวะขึ้น ๆ ลง ๆ ตอนเช้ามืดแบบนี้ ก็เป็นเด็กประมงซึ่งในหอมีอยู่หลายห้อง (ประมาณ 4 ห้อง) เข้าใจว่าคงไปดูงาน หรือมีกิจกรรมอะไรตอนเช้าที่มหา'ลัย ก็ออกไปดูเห็นเป็นเด็กประมงไม่ใช่เป็นเพื่อนเขาหรือใครก็เลยไม่ได้เอ็ด ไม่ได้ว่า ก็กลับเข้าไปนอนแต่ย้ายมานอนที่ออฟฟิศแทน มานั่งเงกหลับในออฟฟิศ
มือถือก็ลืมไว้ในห้องนอนนั่นแหล่ะ พอตอนเกิดเรื่องรถหายเด็กโทร ก็ไม่มีคนรับหล่ะ ก็หลายสายอยู่ กว่าผมจะตื่นมาเปิดออฟฟิศก็เป็นเวลาล่วงราว ๆ 9 โมงไปแล้ว แล้วก็เริ่มรู้ว่าได้เกิดเหตุการณืไม่ดีขึ้นมาเสียแล้ว เพราะหน้าหอก็เต็มไปด้วยเด็กเพื่อน ๆ ของตั้ม (คนที่รถหาย) ยืนบ้างนั่งบ้างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไป ตอนนั้นก็คือเขาแจ้งตำรวจไปแล้ว
เมื่อผมได้รู้ข้อมูล ผมก็รีบเปิดกล้องดูเลย ซึ่งค้นหาไม่ยาก เพราะของหาย แล้วก็ของที่หายอยู่หน้ากล้องตัวที่อยู่ในระยะชัดที่สุดพอดี มันไม่ยากเลยใช้เวลาไม่ถึงนาที ก้ได้ภาพของคนร้ายเลย
แว้บแรกที่ผมนึก ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของคนรู้จักข้อมูลของตั้ม คือต้องทำความเข้าใจและรู้จักตั้มก่อน ดังนั้นเราจึงจะมาทำความเข้าใจตั้มในมุมมองของผมกัน
1. ตั้ม นอนอยู่ห้องสุดท้ายของชั้น 1 ห้องที่เห็นในรูปนั่นก็คือห้องสุดท้ายของหอพัก แต่ไม่ใช่ห้องของตั้ม เพราะตั้มจะอยู่อีกปีกหนึ่ง ก็คือเป็นห้องตรงข้ามกับห้องในรูป วิวด้านนอกห้องตั้มจะเป็นต้นมะม่วง ถ้าเข้าไปลิงค์ข่าวแล้วจะเห็นรูปที่เขาถ่ายภาพรถของเขา ตั้มเช่าอยู่ตั้งแต่ย้ายมาเรียนปี 1 ที่ราชภัฎเพชรบุรี
2. ตั้มเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ คนรู้จักเยอะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ประมาณช่วงเดือน สิงหา กันยา ตั้มมาบอกว่าขอใช้พื้นที่ด้านหลังหอ โดยเขาจะเก็บกวาดให้ แลกกับเขาขอนั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือในพื้นที่ด้านหลัง
3. เนื่องจากที่นี่เรียนไม่หนัก ตั้มมีเวลาว่างเยอะ ตั้มจะใช้เวลาว่างในการแต่งรถ ล้างรถ รื้อรถ ถ่ายน้ำมันเครื่อง อยู่ด้านหลังหอประจำ ๆ แรก ๆ ตั้มก็จะทำอยู่คันเดียว แต่หลังจากเรื่องขอใช้พื้นที่ เพื่อน ๆ ของตั้มก็เข้ามาใช้พื้นที่ตรงนั้นประจำ ในการนั่งคุย นั่งเล่นเกมส์ นั่งแต่งรถ รวมถึงนั่งสูบบุหรี่ ซึ่งผมก็จะต้องคอยปราม แต่ก็จะเห็นก้นบุหรี่บริเวณนั้นประจำ
4. ระยะหลังตั้มลืมกุญแจไว้ในห้องบ่อยมาก เพราะต้องมาขอกุญแจสำรองจากผมประจำ จนเป็นอันดับหนึ่งเรื่องของการขอกุญแจสำรอง เนื่องจากเพื่อนเยอะการเข้าออกบ่อย ๆ ก็เรียกว่ามีความวุ่นวายในระดับหนึ่ง ซึ่งจะดีหน่อยที่จะวุ่นวายในเวลากลางวัน สัปดาห์หนึ่งก็จะมีทติ้งกับกลุ่มเพื่อน ๆ เขา ประมาณ 3 วัน
5. รถคันที่หาย รถของตั้มเป็นรถแต่ง เอกลักษณ์โดดเด่นของรถจะอยู่ที่ล้อกับท่อ ท่อจะเสียงดังสนั่นเลย ถ้าสตาร์ทในหอเสียงจะก้องมาก ตั้มเองก็ดีตรงที่ไม่ค่อยสตาร์ทรถในหอ และก็มักจะดับเครื่องเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน
6. คนที่เข้า ๆ ออกหอพัก ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของหอพัก ก็คือกลุ่มของตั้มกลุ่มเดียว เพราะห้องอื่น ๆ ก็จะอยู่กันแบบเงียบ ๆ นานที ๆ จึงจะมีเสียงดังสักที
7. ตั้มพักเช่าห้องอยู่คนเดียว แต่อยู่ติดกับเพื่อนสนิทเขาอีกคนชื่อชาลี
ดังนั้นจากข้อมูลของตั้มแว้บแรกที่ผมดูกล้องเสร็จแล้วถามตั้มว่ารู้จักไหม ตั้มบอกไม่รู้จัก ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเพื่อนของตั้ม เพราะรถตั้มนั้นจอดอยู่ด้านในท้ายสุด ซึ่งเป็นโซนลึกสุดของการจอดรถมอเตอร์ไซด์แล้ว จุดที่จอดก็มืด แคบ แต่มืดแบบพอมองเห็นคนได้ ไม่ได้มืดทึบ เพราะมีไฟเปิดอยู่ด้านหลังหอ คนร้ายเหมือนจะเลือกรถคันนี้
เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เมื่อนานมาแล้วย้อนกลับไปช่วงเมื่อตอนสร้างหอพักและเปิดกิจการได้ใหม่ ๆ ปีที่ 3 หรือ 4 นี่แหล่ะ ก็คงราว ๆ ปี 50 - 51 รถก็เคยหาย รูปแบบการหายคือมีคนมาจีบเด็กในหอ คือไม่ได้เรียน ไม่ได้ทำอะไร ก็ได้แฟนอยู่หอนี้ ผู้หญิงก็พาแฟนมาอยู่ แล้วคนนี้ก็ว่างก็ตะเวนคบเพื่อนไปเรื่อย แล้วรถก็หายเหมือนกับว่าเคยให้เพื่อนยืมรถไป แต่คราวนั้นสามารถตามได้เพราะมีคนชี้เป้าว่าคนเอาไปบ้านอยู่ไหน ก็เรียกตำรวจไปดำเนินการจับกุม หรืออะไรก็ว่าไป ผมก็พาผู้เสียหายขับรถตระเวนสองอำเภอเพื่อไล่ตามเบาะแส ก็ได้รถคืนมาก็ผ่านพ้นไปในคราวนั้น เกิดจากการคบเพื่อน
รอบนี้ปัญหาก็มีความคล้ายกันมาก แต่ต่างกันตรงที่ตอนโน้นมือถือเพิ่งจะมา คือมาแล้วแต่ได้ประมาณไม่กี่ปีดี หอพักผมก็เป็นหอที่เป็นหอปิดท้ายของโซน คือถ้าขับรถผ่านหน้าหอผมไปก็จะเป็นป่าแล้ว ไม่มีบ้านอะไรสักหลังไปอีกยาว ๆ เลยอีกหลายกิโลกว่าจะเจอบ้านอีกหลัง กล้องวงจรปิดก็ไม่มี อินเตอร์เน็ตก็ยังไม่บูม ... มือถือตอนนั้นใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้ก็แล้วกัน จอยังไม่เป็นสีด้วยซ้ำมั้งถ้าจำไม่ผิด หรือเพิ่งเริ่มมีจอสี
กลับมาไทม์ไลน์ปัจจุบัน ตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุก็มาสอบปากคำ เก็บข้อมูล เก็บรายละเอียด ผมก็ตัดไฟล์วีดีโอส่งให้ตำรวจ เรียกว่าทุุกอย่างจบภายในเที่ยง ไฟล์วีดีโอก็สามารถดูได้ในข่าว หรือในเฟซบุ๊คน้องตั้มแหล่ะนะ (ลิงค์อยู่ในข่าว) ผมก็ส่งมอบข้อมูลทุกอย่างที่เป็นวีดีโอกล้องวงจรปิดนี่คือข้อมูลที่ผมให้แบบไม่หวงไม่กั๊ก รวดเร็ว ฉับไว ไม่ต้องรอนานด้วยซ้ำ
ก็ด้วยความหวังว่าจะจับคนร้ายได้เร็ววัน เพราะภาพออกไปบนอินเตอร์เน็ตก็คาดหวังว่าน่าจะมีคนรู้จักและชี้เป้าได้มากขึ้นก็คือจบไปวันนั้น
วันเสาร์ (1 วันหลังเหตุการณ์)
ผมไปกรุงเทพเพราะน้องสาวคลอดหลานคนใหม่ ก็เลยต้องพาพ่อแม่ไปเยี่ยมน้องสาว ช่วงบ่าย ๆ เย็นก็มีตำรวจโทรมาบอกว่าอยากจะได้ภาพเพิ่ม ผมก็บอกว่าผมไม่อยู่นะ ผมอยู่กรุงเทพ
วันอาทิตย์
ตำรวจก็มาตอนช่วงสาย ๆ ก็มาขอภาพกล้อง ผมก็ส่งไฟล์ให้หลายไฟล์เลยตามที่เขาได้ขอมา ตำรวจก็เหมือนจะเดิน ๆ ไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ เช่นบ้านอื่น ๆ ด้วยหล่ะนะ ก็เอาเป็นว่าเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่คนแถวนี้รู้กันหมด ไม่เป็นไรให้จับคนร้ายได้ ผมก็คิดว่าหอก็คงรอดกลับมาอีกครั้ง
ตั้มก็มาขอภาพเหมือนกัน เพื่อเพิ่มเติมจะได้เอาไปลงในเฟซบุ๊คผมก็จัดให้อย่างไม่ติดขัดอะไร ก็ส่งให้ตามที่อยากได้ทุกอย่าง
วันพุธ
ตำรวจเข้ามาอีกหนหนึ่ง เหมือนโดนเร่งมา เพราะคดีนี้ออกสื่อในอินเตอร์เน็ต ออกในเว็บชุมชนของเพชรบุรีด้วยก็คือลิงค์ด้านบนแหล่ะนะ
ตั้มก็มาขอข้อมูลอีก บอกว่าอยากได้ภาพสามวันก่อนหน้านี้ ผมก็บอกว่าได้เดี๋ยวทำให้ แต่ต้องหาอะไรมาเก็บไฟล์ไปนะเพราะไฟล์คงมีขนาดใหญ่พอสมควรกับกล้องสามตัว 3 วันก่อนหน้า ตั้มเริ่มไม่อยากจะลงทุนทำอะไร อยากให้ผมช่วยดูให้ ผมก็ถามกลับไปว่าถ้าเราเห็นว่าเขามาดูลาดเลาเราจะทำอะไรได้บ้าง ตั้มอยากจะให้ผมนั่งดูให้เขา ผมก็บอกว่าไม่ทำให้หรอกนะ อยากได้ก็เอา harddisk หรืออะไรมา save เอาไป หรือจะเลือกเป็นสายแลนก็ได้เดี๋ยวต่อเข้าตัวบันทึกกล้องให้ แล้วไปนั่งดูในห้อง ตั้มก็ไม่เอา ตกลงกันที่ให้ผมเตรียมไฟล์ให้ แต่ตั้มก็ไม่มาเอา ผมก็เสียเวลาเตรียมให้นะ
วันอังคารที่ 10 ธ.ค.
ตั้มมาขอย้ายออก
วันอังคารที่ 17 ธ.ค.
ชาลีขอย้ายออก
วันพุธที่ 18 ธ.ค.
ตำรวจเจอรถอยู่ที่ท่ายาง
โอเค หลังจากที่ผมนั่งดูวีดีโอหลาย ๆ รอบ ผมก็เปลี่ยนใจเป็นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าคนร้ายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเพื่อน ๆ ของตั้ม หรือแม้แต่การที่คนร้ายอาจจะไม่ได้รู้จักตั้มเป็นการส่วนตัวแต่ใช้วิธีพุ่งเป้า เพราะรถของตั้มก็เป็นรถแต่ง และของแต่งก็คงมีมูลค่า ผมก็อยากจะให้ตำรวจจับคนร้ายได้เร็ว ๆ หล่ะนะเพราะกล้องจับภาพใบหน้าได้ชัดมาก นี่ก็เกือบจะสองสัปดาห์แล้วยังไม่มีข่าวเลยว่าตำรวจทำงานถึงไหน คำถามที่อยากรู้ถาม และอยากรู้คำตอบมากที่สุดก็คืออยากรู้แรงจูงใจหล่ะนะ ว่าทำไมเลือกหอนี้ หรือเดาสุ่ม ผมไม่คิดว่าเป็นการเดาสุ่มนะ ผมว่ามันต้องมีเงื่อนงำ ไม่รู้สิ ...
หอผมนี่เป็นหอที่ติดถนนหลักนะ ห่างป้อมตำรวจประมาณ 200 เมตร (แต่ก็นะ) มีกล่องที่ตำรวจต้องมาเซ็นต์ชื่อแต่ก็เซ็นต์เฉพาะกลางวันแหล่ะ ไม่เคยตรวจกลางคืนเลย คนร้ายรู้หรือเปล่าว่ามีกล้อง และตอนกลางคืนตรงนั้นกล้องก็จะทำงานไฟก็จะติดเพราะกล้องจะสาดแสงอินฟราเรด
สำหรับผมผมก็คิดว่าคำเดียวที่อธิบายได้ง่าย ๆ กับตัวผมเลยก็คือ ถึงคราว "ซวย" เพราะชีวิตปกติของหอพักก็ดำเนินมาแบบนี้ เรื่องการเข้าออกตอนกลางคืนก็มีการปรับให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นตามกาลเวลา เพราะการแข่งขันมันก็สูง คนเช่าทั้งหมดก็เป็นเด็กที่มาเรียนที่ราชภัฎ ส่วนตัวผมถ้าใครอยู่กับผมมานานเขาจะบอกได้เลยว่า ผมปิดหอตอนราว ๆ 5 ทุ่ม และเมื่อจูงรถเก็บเข้าไปเก็บไว้ในหอแล้วคือผมก็จะไม่ออกอีกแล้ว ไม่มีการออกไปหาอะไรกินหลังจากที่ผมเก็บรถแล้ว ชีวิตก็วน ๆ แบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเลย น่าจะพูดได้ว่าตั้งแต่เปิดกิจการเลย นี่คือกิจวัตรของหอพัก คือถึงแม้ผมไม่ได้นอนแต่ธุระทุกอย่างก็จะจบลงหลังจาก 5 ทุ่ม ผมอาจจะนั่ง อาจจะตื่น หรืออาจจะนอนไปแล้วก็ได้ แต่ก็คือประมาณนี้ตลอด
ถ้าหอปิด 5 ทุ่ม แบบปิดตายเลย เข้าออกไม่ได้ ผมก็กล้าพูดเลยว่าผมหน่ะโอเค แต่กับเด็ก ๆ คงไม่โอเคเท่าไหร่ บางทีผมก็สะดุ้งตื่นตอนตีสาม ตีห้า ประจำ เพราะได้ยินเสียรองเท้า เสียงเกือก กระทบกับพื้น เด็กสมัยนี้นอกจากจะจอดรถแปลก ๆ แล้ว วิธีการใช้ชีวิตแบบเกรงใจแบบเคารพคนอื่นก็ดูจะลดลงด้วย (แต่จะว่าไปก็พวกผู้ใหญ่ คนโต ๆ ก็เป็น สังเกตจากการจอดรถยนต์หน้าหอพักนี่แหล่ะ)
บรรยากาศรอบตัว ..... ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ? เหมือนคนเช่าคนอื่นก็จะมองว่าผมผิด เกิดความปั่นป่วนในหอพักมากมาย โดยปกติแล้วหออื่น ๆ อาจจะมีการทักทายพูดคุยกันถ้าคนดูแลหรือเจ้าของหออัธยาศัยดี สำหรับผมนี่เหมือนผมจะคอยอำนวยความสะดวกมากกว่านะ ไม่ค่อยทักทายพูดจาปราศรัย บรรยากาศในหอก็เปลี่ยนไป ผมนี่ก็ได้แต่ร้องเห้อ สิ่งที่อุตส่าห์ทำมาไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงหอ การทำโน่นเติมนี่ การแก้ปัญหาให้หอน่าอยู่ การทำอะไรให้มันยืดหยุ่นแข่งขันกับเจ้าอื่นได้ ก็เหมือนเดินถอยหลัง หรือพังพินาศไป
โชคดีมีอยู่อย่างเดียวคือกล้องตัวที่จับภาพได้นี่คือเพิ่งเปลี่ยนใหม่ ตัวเก่ากลางคืนนี่มองไม่เห็นภาพเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเป็นกล้องที่ติดมานานแล้วประมาณ 5 - 6 ปีแล้ว ภาพที่ได้เลยออกมาชัด นี่ถ้าเป็นกล้องตัวเก่าก็จะได้ภาพมืด ๆ แบบไม่เห็นอะไรมากอาจจะเห็นเป็นจุด ๆ ขาว ๆ ก็ได้
หลังจากรถหายไปสองสัปดาห์ (เกือบ 3 สัปดาห์) แล้วได้คืน โดยที่ชิ้นส่วนที่หายไปคือไฟท้าย และป้ายทะเบียน สิ่งที่เหลือในอินเตอร์เน็ตคือหอพักนี้เคยมีรถหาย ซึ่งบางทีก็คิดว่าไม่ค่อยยุติธรรมเลย เด็ก ๆ ก็ย้ายออกรายได้ก็หายไป
เรื่องเด็กย้ายออกก็ไม่ใช่ว่าอยากจะให้เกิดขึ้นหรอก ถึงแม้ว่าพวกนี้จะสร้างความลำบากให้ผมบ้างเป็นครั้งคราวแต่ก็นะ ถ้าย้ายออกย้ายออกเพราะไม่มีเรื่องผมจะโล่งใจมากกว่า บอกตรง ๆ ส่วนหนึ่งเล็ก ๆ ในใจ นอกจากความซวยแล้วก็คิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าตั้มออก ชาลีออก ก็จะทำให้ความวุ่นวายในการรวมกลุ่มมั่วสุม ไม่ต้องได้กลิ่นบุหรี่หลังหอ พร้อมกับการทิ้งก้นบุหรี่ไว้ให้ดูต่างหน้า โดยไม่เกรงใจเลยว่าหอพักห้ามสูบบุหรี่ การเดินถอดเสื้อออกนอกห้องพักซึ่งผมก็เตือนบ่อย ๆ แต่ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานั่นแหล่ะ แล้วการฉีดพ่นสเปรย์เพื่อทำสีอุปกรณ์แต่งรถของพวกมัน ทำหอผมมีแต่รอยสีสเปรย์สีดำเปื้อนเป็นหย่อม ๆ ไปหมด แล้วมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งของตั้ม พูดคำว่า "ไอ้เหี้ย" ได้ทุกประโยคที่พ่นลมตดออกมาทางปาก ผมก็โคตรเกลียดเลย จะหาจังหวะว่ามันอยู่แต่ยังไม่ได้ว่าก็เกิดเรื่องเสียก่อน
ในตอนนี้รายละเอียดเรื่องการได้รถมาอย่างไรก็ไม่ชัดเจน คือเขาบอกว่าคนที่เอาไป มาทิ้งรถไว้ข้างทางก่อนจะมีคนแจ้งไปแล้วตำรวจก็ได้รับแจ้งแล้วเอามาคืนเจ้าของรถ ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ขาดข้อมูลจนผมต้องแอบส่งเพื่อนที่รู้จักไปสืบก็ยังไม่ได้ความมา เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นแต่เห็นว่ายังไม่เจอคนเอาไป ถึงแม้ว่าจะออกหมายจับแล้ว เจอรถอยู่ที่อำเภอท่ายาง ก็เป็นอำเภอติดต่อกัน
สุดท้ายสิ่งที่ผมอยากรู้ที่สุดคือ
คนร้ายมีแรงจูงใจอะไรในการกระทำการครั้งนี้ รู้จักกับตั้มไหม เล็งรถไว้หรือเปล่า เพราะเห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมตัวเตรียมกุญแจผีมาไข ... ความสัมพันธ์กับตั้ม เป็นเพื่อนของเพื่อนไหม หรือเป็นเรื่องอื่นเช่นเจ้าหนี้ลูกหนี้