เสียดาย ... ที่ไม่ได้เอากล้องไปด้วย
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พ่อผมให้ผมเป็นตัวแทนในการไปดูเขาวัดที่ ว่าแล้วก็เหนื่อยนะเพราะที่ดินที่ว่านี้ไกลมาก...
จากการได้คุยกับบรรดาญาติ ๆ ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในที่ดินนั้น ผมก็คิดว่า สมัยก่อนนี้แนวคิดของการซื้อที่ดินไว้ขายก็เหมือนกับการเล่นหุ้น แต่เป็นการเล่นหุ้นแบบชาวบ้าน ชาวบ้าน หน่ะนะ วิธีการก็ คือเขาจะลงขันเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วก็เอาเงินก้อนนั้นไปซื้อที่ไว้แปลงหนึ่ง ... คนที่เป็นแคนดิเดตก็คือคนที่มีหุ้นในที่ดินนั้นมากที่สุดนั่นเอง แต่เวลาลงชื่อในโฉนดที่ดินก็จะมีกันครบเลยครับ เรียกว่าจะซื้อจะขายทีก็คงต้องหอบกันไปที่สำนักงานที่ดินนั่นเอง เหมือนคราวนี้ที่จะไปรังวัดที่ดินออกโฉนดเนื่องจากเรื่องมันยาวเอาเป็นว่าเจ้าของหุ้นใหญ่ตายไปแล้ว ... ลูกสาวมารับแทน ลูกสาวซึ่งได้รับมรดกอันนี้มาก็จะขาย ก็เลยต้องตัดแบ่งกันเพื่อให้ซื้อขายกันได้
อันนี้คือผมคิดเองนะครับ สมัยก่อนที่หอบมาซื้อที่ดินตรงนี้ คงเป็นเพราะว่ามันมีอยู่ช่วงหนึ่งครับที่พวกอสังหามันบูมมาก สมัยฟองสบู่มั้งครับ ที่ดินเขาซื้อมาถูกแล้วขายได้แพง ก็เลยซื้อตุน ๆ กันไว้ด้วยหวังใจว่าหุ้นของเขาจะเจริญเติบโต มีคนมาซื้อในราคาสูง ๆ แล้วก็ขายออกไปนั่นเอง ภาพในตอนนั้นมันก็เลยฝังใจนะครับ ก็เลยทำให้ที่ดินผืนนี้ถูกซื้อแล้วก็ถูกลืมเลือน เวลาคงจะต้องมากกว่าอายุผมแน่นอนครับ ก็คงไม่น้อยกว่า 30 ปีแล้ว พ่อบอกว่าพ่อซื้อมาไร่ละ 50000 บาท (โอ้ พ่อเรารวยมากเลยนะ สมัยก่อนเงิน 50000 คงมีค่าไม่น้อย ... แถมยังลืมอีก)
ที่ดินทั้งหมดมี 13 ไร่ครับ แบ่งสันปันส่วน และก็มีชื่อพ่อผมนี่แหล่ะ มีกับเขา 1 ไร่ .... คนอื่นเขามีหุ้นกันคนละ 4 ไร่ ก็เลยเหมือนกับต้องติดร่างแหไปด้วย ความจริงไม่อยากจะบอกว่าพ่อผมเขาลืมไปเลยว่าเขาได้ลงขันหุ้นที่ดินอันนี้เหมือนกัน เพิ่งถูกทำให้จำได้ก็ตอนที่เขาต้องให้พ่อมาเซ็นต์นี่แหล่ะครับ
ทั้ง ๆ ที่วันนี้ผมก็มีงานด่วนงานที่ต้องทำเว็บไซต์ส่งลูกค้าซึ่งเร่งจะเอา ... เพราะงานมันไปดีเลย์ในส่วนเขาเสียเยอะ ก็เลยมาลงแส้เฆี่ยนตีกับโปรแกรมเมอร์นี่แหล่ะครับ ก็เลยอดหงุดหงิดใจเล็ก ๆ ไม่ได้ ผมรู้ล่วงหน้าว่าพ่อให้ไปแทนประมาณ 1 วันเศษ ๆ ครับ ไม่ถึงสองวัน ก็เลยพยายามนั่งปั่นงานด้วยหวังในใจว่าคงได้กลับมาทำในช่วงบ่าย ๆ จะเลี่ยงก็ไม่ได้ ก็เลยต้องรับสภาพไป
หลังจากขับรถออกไปไกลมากก็ไปถึงที่ดิน (เวลาประมาณ 10 โมงเช้า) โดยมีอาที่มีหุ้นด้วยติดรถไปด้วย ผมเองก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน ที่ดินของผม (ที่มีส่วน 1 ไร่) ก็อยู่ในสภาพรก ๆ ครับ มีต้นสับปะรดขึ้นด้วยแหล่ะ เหมือนมีคนเอามาปลูก ๆ ไว้แต่ก็ไม่ได้รับการดูแลเหมือนไร่ข้าง ๆ ที่เจ้าของที่เขาได้ลงทุนลงแรงเขาไว้ครับ มีคนมาแอบปลูกมะพร้าวด้วย ด้านหนึ่งของที่ดินติดคูน้ำครับ ด้านหน้าที่มีถนนผ่าน ถนนไม่ใช่ถนนลาดยางนะครับ เป็นถนนดินเหมือนกับทางที่แยกออกมาจากถนนลาดยางที่เราสามารถเห็นได้บ่อย ๆ ถ้าได้ขับรถออกนอกเขตความเจริญนะครับ ด้านหลังติดกับสวนกล้วย
การรังวัดก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ การขุดหาหลักเขตก็ขุดกันเข้าไป มีการล้ำที่ล้ำทางกันบ้าง เจ้าของที่ดินข้าง ๆ ที่มีปัญหาก็มาตกลงกัน ตกลงกันได้ก็วัด ๆ กันไป กว่าจะขุดเจอหลักอันแรก หลังจากพยายามขุดมาสามสี่หลุมก็ตกประมาณ เที่ยงครับ พวกผมก็เดินไปเดินมาตามช่างรังวัดไป (ไม่รู้จะเดินไปทำไมเหมือนกัน แต่ไม่เดินเดี๋ยวญาติ ๆ จะว่าอีกว่า ทำไมไม่มาดูเขตแดนกับเขาบ้างเลย ... คงกลัวโดนว่าโดนบ่นก็เลยเดินครับ)
พักเที่ยงก็พักกินข้าวครับ ผมก็ได้รับมอบหมายงานให้ไปเป็นคนซื้อข้าวมา โทษฐานที่อาวุโสน้อยที่สุด เขาไม่รู้จะใช้ใครแล้วแหล่ะ ผมก็ยืมรถมอไซด์ (อายุมอไซด์ก็คาดว่าราว ๆ จะเท่า ๆ กับผมนี่แหล่ะ) คนหนักร้อยกว่าโลกับมอไซด์ 30 ขวบครับ (ไม่รู้ว่าความคิดใครเหมือนกันครับที่บอกให้เอารถมอไซด์ ของผู้ใหญ่บ้านไปซื้อ ไอ้เราก็ไม่อยากขัดใจ) ก็ขับไปซื้อข้าว ร้านข้าวก็ห่างจากจุดที่เราทำการรังวัด ประมาณมากกว่า 5 โลนิด ๆ ได้ เสียงเครื่องยนต์ของมอไซด์ก็บ่งบอกว่าเราไม่ควรใช้งานเขาหนักนะ เดี๋ยวเขาจะงอแงเอาได้ ... ก็เลยขับเรื่อย ๆ ครับ
ร้านอาหารตามสั่งแถวนี้หายากมาเลยครับเพราะข้างทางเองก็บ้านคนมีนะครับ แต่บ้านเขารั้วไม่ติด ๆ กันเหมือนในเมืองหรอกครับ บ้านหลังหนึ่งแล้วก็เว้นไปไกลเชียว กว่าจะเห็นอีกหลังหนึ่ง ทำให้ผมอดคิดถึงว่า เอ ... ถ้าเราเกิดมาในดินแดนละแวกนี้หล่ะนะ เราจะเป็นไงนะ เราจะได้นั่งเขียนโปรแกรมอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างนี้หรือเปล่า พูดแล้วก็อดคิดถึงว่าถ้าเราเป็นเกษตรกรจะไหวหรือเปล่านะ งานหนักมาก ขนาดเราเดินรอบ ๆ ที่เรา เรายังเจ็บขาเลยนะ เห็นแล้วรู้สึกเห็นอะไรที่มันแตกต่างกับตัวเองเหมือนเหรียญสองด้านอย่างไงอย่างนั้นเลย ทำงานก็กลางแจ้ง แดดก็ร้อนมาก เป็นผมคงออกไปทำได้แป้บ ๆ แล้วก็กลับมานั่งเหนื่อย แล้วก็คงหาอะไรกิน แล้วก็คงง่วงหลับ ตื่นมาอีกทีก็เย็นแล้ว
ในขณะที่ผมนะโคตรเกี่ยงเรื่องราคางานกับเพื่อนของผมมาก ๆ ๆ ๆ (รู้ตัวเลยพอเจอ ประสบการณ์แบบนี้) เพราะผมลงทุนทั้งเครื่อง ลงทุนสมอง แต่เพื่อนเอางานไปขายนะ ได้มากกว่าผมได้เสียอีก ผมก็เลยพยายามที่จะเกี่ยงราคาให้มันแพง ๆ ขึ้นเสมอ ๆ
ในขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศของเราก็ทำอาชีพแบบนี้กัน เราก็เหมือนจะดูถูกอาชีพเหล่านี้เล็ก ๆ เพราะเป็นอาชีพที่เหนื่อยมาก ค่าแรงก็น้อย ค่าตอบแทนก็น้อย ขาดทุนก็ได้อีก ไม่น่าเชื่อว่าเขาก็อยู่ในประเทศเดียวกับเรา แต่ทำไมรู้สึกเหมือนเขาแตกต่างจากเราจังเลยวะ สภาพแวดล้มคุณก็ไม่มีอะไรหรอกมีแต่ป่ารก ๆ ไร่สัปปะรด ทำงานอากาศร้อน มีพื้นดินที่สีแบบแห้ง ๆ ร่วน ๆ รู้สึกเริ่มเข้าใจพวกม็อบเกษตรกรขึ้นมาเลยทันทีเชียว อารมณ์คงเหมือนกับผมในตอนนี้ที่เรียกร้องค่าตอบแทนที่มากขึ้น เมื่อก่อนผมก็มองว่าก็แห่ปลูกตามกัน ของก็ราคาตกไง
บางทีชีวิตของผมและคนอีกหลาย ๆ คน ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงที่แตกต่างไปจากพวกเขานะ ความจริงชีวิตหนึ่งชีวิตอาจจะไม่ซับซ้อน แต่พวกเราเกิดมาในจุดที่มีความซับซ้อน เหมือนกับอยู่ซีกโลกที่ใช้เงินในการขับเคลื่อนชีวิต ความต้องการความสะดวกสบายสูง ความอยากได้อยากมีก็เยอะเสียเหลือเกิน ความอิจฉาคนที่เขาทำงานสบายกว่าแต่ได้เงินเยอะกว่า กลายเป็นเหมือนเส้นชัยที่ใคร ๆ พวกเรา ผม ต่างก็อยากวิ่งเข้าไปเพื่อเอาอกไปแตะ
ตลอดเวลาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี แต่วันนี้ก็เหมือนจะรู้สึกโชคดีขึ้นอีกนิดหนึ่ง
หลังจากที่ซื้อข้าวกลับมาก็มารังวัดกันต่อ พอจะเริ่มเย็น ๆ ก็มีการต้องหารค่าใช้จ่ายกัน โอ้แม่เจ้า ผมพลาด ผมลืมไปว่าผมมีแค่ไร่เดียว แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่เดินเรื่อง ฯลฯ มาจนถึงวันนี้มีคนออกไปก่อนรวมเป็นเงิน 13000 กว่าบาท ด้วยความที่ลืมไปนึกว่าหุ้นเราเยอะก็เลยให้เขาไป 3250 บาท เต็มจำนวนแต่ก็พึ่งมานึกได้เออ หว่ะ (ฮ่า ๆ ซวยเลย น่าจะทักท้วงไป) กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็ปาไปห้าโมงเย็นครึ่ง ตอนกลับก็มืด ๆ แล้วหล่ะ ทางแถวนั้นนี่ไม่อยากจะบอกเลยว่าต่างจากชีวิตชาวเมืองมาก หาไฟส่องทางไม่ได้เลย เหมือนนั่งขับยานอวกาศ ที่เราก็มองเห็นแค่ระยะที่ไฟหน้ารถยนต์ของเราส่องไปถึงเท่านั้น
ผมกลับมาบอกพ่อว่า "พ่อขายไปเหอะที่ดินที่เป็นหุ้น 1 ไร่นั่น" ส่วนเงินนั่นก็เบิกพ่อเอา :) รู้แค่ว่าวันนี้เหนื่อยสุด ๆ ขาผมไม่อยากจะก้าวเดินไปไหน คืนนี้คงจะหลับเป็นตายแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น